หน้าแรก > ข่าวและกิจกรรม > Index > Assets > Frontend > Css > Images > บริการทางการแพทย์ > สูตินรีเวช > ภาวะครรภ์เป็นพิษ12-08-2013
ภาวะครรภ์เป็นพิษ
วันอังคารที่ 27 กันยายน 2554 เวลา 17:22 น.
ครรภ์เป็นพิษ หมายถึง ภาวะผิดปกติที่พบในหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งประกอบด้วยอาการ 3 ประการร่วมกัน ได้แก่ อาการบวม, ความดันโลหิตสูง และตรวจพบสารไข่ขาวในปัสสาวะ โรคนี้พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของหญิงตั้งครรภ์ มักมีอาการเมื่อตั้งครรภ์ได้ 5-6 เดือนขึ้นไป จนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์ ครรภ์เป็นพิษยังแบ่งเป็น พรีอีแคลมป์เชีย (preeclampsia) ซึ่งมีเพียงอาการบวม ความดันโลหิตสูง และมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ ไม่มีอาการชักหรือหมดสติ, กับอีแคลมป์เชีย (eclampsia) ซึ่งจะมีอาการชักหรือหมดสติ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ โดยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 ของครรภ์เป็นพิษชนิดพรีแคลมป์เชียอาจกลายเป็นชนิดอีแคลมป์เชีย หลังจากคลอดแล้วอาการของครรภ์เป็นพิษจะค่อยๆ หายไปได้เอง ใครมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ได้มากที่สุด ถึงแม้เราจะยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริงของภาวะครรภ์เป็นพิษ แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้หญิงมีครรภ์บางท่านมีภาวะเสี่ยงกว่าคนอื่นๆ นั่นคือ
สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด มักพบในครรภ์แรก, ครรภ์แฝด, ครรภ์ไข่ปลาอุก และในผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไตอยู่ก่อน
อาการ 1. ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ตามัว คลื่นไส้อาเจียน ปวดตรงใต้ลิ้นปี่ บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า 2. ในรายที่เป็นพรีอีแคลมป์เชียระยะรุนแรง จะพบความดันโลหิตสูงเกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท อาจมีภาวะเม็ดเลือดแดงตก, เอนไซม์ตับขึ้นสูง และภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (เลือดออกง่าย) อาจมีอาการปวดตรงลิ้นปี่รุนแรง เนื่องจากมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มตับ 3. ในรายที่เป็นอีแคลมป์เชีย จะมีอาการชักหรือหมดสติ ซึ่งอาจเกิดก่อนคลอด ขณะคลอด หรือภายใน 1 สัปดาห์หลังคลอด
สิ่งตรวจพบ 1. ความดันโลหิตช่วงบน (ซิสโตลี) > 140 มิลลิเมตรปรอท หรือช่วงล่าง (ไดแอสโตลี) >90 มิลลิเมตรปรอท (ถ้าช่วงบน > 160 มิลลิเมตรปรอท หรือช่วงล่าง > 110 มิลลิเมตรปรอท ก็ถือว่ารุนแรง) 2. เท้าบวม กดมีรอยบุ๋ม 3. อาจตรวจพบภาวะซีด จ้ำเขียว เลือดออก 4. นอกจากนี้ ยังตรวจพบรีเฟลกซ์ของข้อไว (hyperreflexia) หรือภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) ซึ่งใช้เครื่องฟังปอดจะได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation) 5. ตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) ซึ่งถ้ายิ่งมีมาก (ขนาด 3+ หรือ 4+) ก็ถือว่ายิ่งรุนแรง 6. การตรวจเลือดอาจพบเอนไซม์ตับ (เอแอลที=sgot) และสารบียูเอ็นรวมทั้งครีอะตินีนสูงขึ้น(BUN,Cr) อาการแทรกซ้อน
|
1. หากสงสัยควรแนะนำไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเลือดและปัสสาวะในรายที่เป็นไม่มาก ไม่จำเป็นต้องพักโรงพยาบาล ควรแนะนำให้นอนพักที่บ้านให้เต็มที่ทั้งวัน (การนอนพักจะช่วยให้เลือดไหลเวียนไปยังสมอง หัวใจ ตับ ไต และรกได้ดี อาการของโรคอาจทุเลาได้) และนัดผู้ป่วยมาตรวจสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือทุกๆ 2 วัน หรือส่งพยาบาลไปเยี่ยมบ้าน เพื่อประเมินอาการทุกวัน 2. ถ้าไม่ดีขึ้น หรือความดันช่วงบน > 140 หรือ ช่วงล่าง > 90 มิลลิเมตรปรอท หรือมีปัญหาไม่สามารถติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ควรรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนอนพักให้เต็มที่ ทำการตรวจวัดความดันโลหิต, ตรวจรีเฟลกซ์ของข้อ, ตรวจดูสารไข่ขาวในปัสสาวะ และฟังเสียงหัวใจทารกบ่อยๆ นอกจากนี้ยังต้องตรวจเลือด (ดูจำนวนเกล็ดเลือด, อิเล็กโทไลต์, บียูเอ็น, ครีอะตินีน, เอนไซม์ตับ) ทุก 1-2 วัน 3. ถ้าพบว่ามีความดัน > 160/110 มิลลิเมตปรอท จะให้ยาลดความดัน เช่น ไฮดราลาซีน (hydralazine) 5-10 มิลลิกรัม ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือให้อมไนเฟดิพีน 10 มิลิกรัม ไว้ใต้ลิ้น ควรควบคุมให้ความดันช่วงล่างอยู่ระหว่าง 90-100 มิลลิเมตรปรอท (ถ้าลดต่ำกว่านี้อาจทำให้รกขาดเลือดไปเลี้ยงได้) ห้ามให้ยาลดความดันกลุ่มยาต้านเอช เพราะอาจทำให้ทารกพิการ และมารดาไตวายได้ และหลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้เลือดไปเลี้ยงรกได้ไม่ดี (ยกเว้นในรายที่มีปัสสาวะออกน้อยเนื่องจากไตวาย อาจให้ฟูโรซีไมด์) 4. ถ้าเป็นมาก อาจฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต (magnesium sulfate) เพื่อป้องกันอาการชักและลดความดัน 5. เมื่อครรภ์ใกล้กำหนดคลอด (มากกว่า 34 สัปดาห์) ควรหาวิธีทำให้เด็กคลอด โดยการใช้ยากระตุ้น หากไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง 6. หากมีอาการชัก ให้ฉีดไดอะซีแพม 5-10 มิลลิกรัม เข้าหลอดเลือดดำ แล้วส่งโรงพยาบาลด่วน แพทย์จะฉีดแมกนีเซียมซัลเฟต หรือไดอะซีแพม ควบคุมอาการชัก และรีบทำการคลอดเด็ก หลังคลอดอาจต้องให้ยาป้องกันการชักต่อไปอีก 1-7 วัน ข้อแนะนำ 1. โรคนี้สามารถให้การดูแลรักษาให้ปลอดภัยได้ทั้งมารดาและเด็กในครรภ์ ถ้ามีการตรวจพบตั้งแต่เริ่มเป็น ดังนั้นจึงควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ หมั่นชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิตและตรวจปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรแนะนำไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล 2. ในการฝากครรภ์ ควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์สังเกตอาการปวดศีรษะ ตามัว หรือบวมตามหน้าหรือมือด้วยตนเอง หากพบก็ให้รีบกลับมาตรวจก่อนนัด 3. ถ้าพบอาการครรภ์เป็นพิษในระยะแรกๆ (ก่อนอายุครรภ์ 5 เดือน) ควรสงสัยว่าเป็นครรภ์ไข่ปลาอุก ต้องรีบมาพบแพทย์ |
สัญญาณอาการเตือน 1. มีอาการปวดศีรษะ ตามัว 2. คลื่นไส้อาเจียน ปวดตรงใต้ลิ้นปี่ 3. บวมตามมือตามเท้าและใบหน้า 4. ความดันโลหิตสูงเกิน 140/90 มิลลิเมตรปรอท 5. เท้าบวม กดมีรอยบุ๋ม 6. ซีด จ้ำเขียว เลือดออก 7. ตรวจปัสสาวะพบสารไข่ขาว (albumin) การป้องกัน 1. เพราะโรคอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของภาวะครรภ์เป็นพิษ แนะนำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รับประทานอาหารอย่างสมดุลและถูกสุขลักษณะ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะนี้และจะเป็นการดีมากหากคุณแม่สร้างนิสัยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การสร้างนิสัยการรับประทานที่ดีไม่ได้หมายความถึงการอดอาหาร เพราะการอดอาหารเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งในช่วงตั้งครรภ์ 2. โรคนี้สามารถให้การดูแลรักษาให้ปลอดภัยได้ทั้งมารดาและเด็กในครรภ์ ถ้ามีการตรวจพบตั้งแต่เริ่มเป็น ดังนั้นจึงควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์ หมั่นชั่งน้ำหนัก วัดความดันโลหิตและตรวจปัสสาวะ ถ้าพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ควรแนะนำไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล 3. ในการฝากครรภ์ ควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์สังเกตอาการปวดศีรษะ ตามัว หรือบวมตามหน้าหรือมือด้วยตนเอง หากพบก็ให้รีบกลับมาตรวจก่อนนัด 4. ถ้าพบอาการครรภ์เป็นพิษในระยะแรกๆ (ก่อนอายุครรภ์ 5 เดือน) ควรสงสัยว่าเป็นครรภ์ไข่ปลาอุก ต้องรีบมาพบแพทย์ |