หน้าแรก > ข่าวและกิจกรรม > Index > Assets > Frontend > Css > Images > บริการทางการแพทย์ > อายุรกรรม > โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส
โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส
วันอังคารที่ 27 กันยายน 2554 เวลา 17:22 น.
ตับอักเสบจากไวรัส หมายถึง การอักเสบของเนื้อตับ เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสพบเป็นสาเหตุอันดับแรกสุดของอาการดีซ่าน (ตัวเหลือง ตาเหลือง) ที่เกิดขึ้นในเด็กโตและผู้ใหญ่ จนเป็นที่เข้าใจกันว่า โรคดีซ่าน ก็คือ ตับอักเสบจากไวรัส โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย แต่พบมากในเด็กและคนหนุ่มสาว สาเหตุ ในปัจจุบันพบว่าไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ 1. เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A virus) ซึ่งทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A ) หรือ เดิมเรียกว่า Infectious hepatitis สามารถติดต่อโดยทางระบบทางเดินอาหาร กล่าวคือ โดยการกินอาหาร ดื่มนม หรือน้ำที่เปื้อนอุจจาระของคนที่มีเชื้อโรคนี้ (เช่นเดียวกับโรคบิด อหิวาต์ ไทฟอยด์) ดังนั้นจึงสามารถแพร่กระจายโรคได้ง่าย ระยะฟักตัว ของตับอักเสบชนิดเอ 15-45 วัน (เฉลี่ย 30 วัน) 2. เชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B virus) ซึ่งทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B) หรือเดิมเรียกว่า Serum hepatitis เชื้อนี้จะมีอยู่ในเลือด และยังอาจพบมีอยู่ในน้ำลาย น้ำตา น้ำนม ปัสสาวะเชื้ออสุจิ เป็นต้น เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายโดยทางเพศสัมพันธ์ หรือถ่ายทอดจากแม่ไปยังทารกขณะคลอด หรือหลังคลอดใหม่ ๆ (ทำให้ทารกมีเชื้อโรคนี้อยู่ในร่างกาย ซึ่งสามารถแพร่ให้คนอื่นได้)นอกจากนี้ โรคนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางเลือด เช่น การให้เลือด การฉีดยา การฝังเข็ม การสักตามร่างกาย การทำฟัน การใช้เครื่องมือแพทย์ที่แปดเปื้อนเลือดของผู้ที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้ เป็นต้น ระยะฟักตัวของตับอักเสบชนิดบี 30-180 วัน (เฉลี่ย 60-90 วัน) นอกจากไวรัสทั้ง 2 ชนิดนี้แล้ว ยังมีไวรัสชนิดอื่น ๆ รวมเรียกว่า ไวรัสชนิดไม่ใช่ทั้งเอและบี ซึ่งทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดไม่ใช่ทั้งเอและบี (Non-A, Non-B hepatitis) ได้แก่ - เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี (Hepatitis C virus) ซึ่งสามารถติดต่อโดยทางเลือด (การให้เลือด, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด) และเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับชนิดบี (ระยะฟักตัวเฉลี่ย 6-7 สัปดาห์) - เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดอี (Hepatitis E virus) ซึ่งสามารถติดต่อโดยทางอาหารการกินเช่นเดียวกับชนิดเอ - เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดจี (Hepatitis G virus) ซึ่งสามารถติดต่อโดยทางเลือด (เช่น การให้เลือด,การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในผู้ใช้ยาเสพติด) - เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดดี (Hepatitis D virus) ซึ่งมักพบร่วมกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี พบมากในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ และอาจทำให้อาการตับอักเสบจากเชื้อไวรัสบีมีความรุนแรงมากขึ้น อาการ ตับอักเสบจากไวรัสทุกชนิด มักจะมีอาการแสดงคล้าย ๆ กัน จะแยกกันได้แน่ชัด ก็โดยการตรวจหาเชื้อในเลือด ระยะนำ ผู้ป่วยมักมีอาการอื่น ๆ นำมาก่อนจะมีอาการตาเหลือง ประมาณ 2-14 วัน มีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คลื่นไส้ อาเจียน และเป็นไข้ ประมาณ 38-39 ํC อาจมีอาการปากคอจืด และเหม็นเบื่อบุหรี่อย่างมาก ปวดเสียดหรือจุกแน่นแถวลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ถ่ายเหลวหรือท้องเดิน หรือมีอาการเป็นหวัด เจ็บคอ ไอ คล้ายไข้หวัดหรือไข้หวัดไหญ่ หรืออาจมีอาการปวดตามข้อ มีลมพิษ ผื่นขึ้นก่อนมีอาการตาเหลือง 1-5 วัน ผู้ป่วยจะปัสสาวะสีเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น และอุจจาระสีซีดกว่าปกติ ระยะนี้มักจะพบว่าตับโต และเคาะเจ็บ ระยะตาเหลือง เมื่อมีอาการตาเหลือง อาการต่าง ๆ จะเริ่มทุเลา และไข้จะลดลงทันที หากยังมีไข้ร่วมกับตาเหลืองอีกหลายวัน ควรนึกถึงสาเหตุอื่น ตาจะเหลืองเข้มมากที่สุดในสัปดาห์ที่ 1และ 2 แล้วจะค่อย ๆ จางหายไปใน 2-4 สัปดาห์ โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะมีอาการตาเหลืองอยู่ประมาณ 3-5 สัปดาห์ และน้ำหนักตัวอาจลดไป 2-3 กิโลกรัม ในขณะที่ตาเหลืองเริ่มจางลง จะสังเกตเห็นอุจจาระกลับมีสีเข้มเหมือนปกติ และปัสสาวะสีค่อย ๆ จางลง ระยะนี้ตับยังโตและเจ็บ แต่จะค่อย ๆ ลดน้อยลง ต่อมน้ำเหลืองที่หลังคอและม้ามอาจโตได้ ระยะฟื้นตัว หลังจากหายตาเหลืองแล้ว ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายขึ้น แต่ยังอาจรู้สึกเหนื่อยล้า ตับจะยังโตและเจ็บเล็กน้อย ใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่อาการจะหายสนิทภายใน 3-4 เดือน หลังมีอาการแสดงของโรค ผู้ป่วยบางคนอาจไม่แสดงอาการตาเหลือง (ดีซ่าน) ให้เห็น หรือคลำตับไม่ได้ มีเพียงอาการอ่อนเพลียคล้ายไข้หวัดใหญ่ หรือปวดเสียดชายโครงขวา ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน อาการแทรกซ้อน ส่วนมากมักจะหายเป็นปกติ โดยไม่มีอาการแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นตับอักเสบชนิดเอ ส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีอาการแทรกซ้อน ซึ่งจะพบในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบชนิดบีหรือซี และมักเกิดในผู้ป่วยสูงอายุ หรือมีโรคอื่น ๆ เช่น หัวใจวาย เบาหวาน มะเร็ง โลหิตจางรุนแรง เป็นต้น อยู่ก่อนแล้ว โรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงกับทำให้เสียชีวิตในเวลารวดเร็ว ซึ่งพบได้น้อยมากได้แก่ ตับอักเสบชนิดร้ายแรง (Fulminant hepatitis) ซึ่งเซลล์ของตับถูกทำลาย จนเนื้อตับเสียเกือบทั้งหมด ผู้ป่วยจะมีอาการตาเหลืองจัด บวม และหมดสติ ประมาณ 10% ของผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบชนิดบี อาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic hepatitis) ซึ่งจะมีอาการอ่อนเพลียและตาเหลืองอยู่นานกว่า 6 เดือน ถ้าเป็นชนิดคงที่ (Chronic persistent hepatitis) อาการจะไม่รุนแรงและมักจะหายได้เป็นปกติภายใน 1-2 ปี แต่ถ้าเป็นชนิดลุกลาม (Chronic active hepatitis) ก็อาจกลายเป็นโรคตับแข็งได้ แพทย์สามารถแยกชนิดคงที่ออกจากชนิดลุกลามได้ด้วยการเจาะเอาเนื้อตับพิสูจน์ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีหรือซีแบบเรื้อรัง หรือเป็นพาหะของเชื้อชนิดบีหรือซีอยู่นาน30-40 ปีขึ้นไป อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้ *อาการที่แสดงไว้เพื่อเป็นคำแนะนำในเบื้องต้นเท่านั้น |
การรักษา หากสงสัย ควรส่งตรวจเพิ่มเติมโดยการเจาะเลือดทดสอบการทำงานของตับ (Liver function test) ซึ่งจะพบว่ามีระดับ เอนไซม์เอสจีโอที (SGOT) และเอสจีพีที (SGPT) สูงกว่าปกติเป็นสิบ ๆ เท่า (ปกติมีค่าไม่เกิน 40 หน่วย) ตลอดจนระดับ บิลิรูบิน (Bilirubin ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ตัวเหลือง ตาเหลือง) สูง นอกจากนี้ยังอาจต้องเจาะเลือดตรวจดูชนิดของเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคว่าเป็น ตับอักเสบชนิดตับอักเสบชนิดเอหรือบี หรือชนิดอื่น) เมื่อพบว่าเป็นโรคนี้จริง ควรให้การรักษาดังนี้ 1. ถ้าพบในเด็กหรือคนหนุ่มสาว ซึ่งอาการโดยทั่วไปดี กินข้าวได้ ไม่ปวดท้องหรืออาเจียน ควรแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวดังนี้ 1.1 พักผ่อนอย่างเต็มที่ ห้ามทำงานหนักจนกว่าจะรู้สึกหายเพลีย 1.2 ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 10-15 แก้ว 1.3 กินอาหารพวกโปรตีน เช่น เนื้อ นม ไข่ ซุป ถั่วต่าง ๆ ให้มาก ๆ ส่วนอาหารมันให้กินได้ตามปกติ ยกเว้นในรายที่กินแล้ว คลื่นไส้อาเจียนให้งด 1.4 ถ้าเบื่ออาหารให้ดื่มน้ำหวานหรือน้ำตาลกลูโคส ถ้ากินอาหารได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำหวานหรือกลูโคสให้มากขึ้น 1.5 ถ้ามีอาการท้องอืดหรือคลื่นไส้ ควรงดอาหารมัน 1.6 แยกสำรับกับข้าวและเครื่องใช้ส่วนตัวออกจากผู้อื่น 1.7 ล้างมือหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง ส่วนยาไม่จำเป็นต้องให้ ยกเว้นในรายที่เบื่ออาหาร อาจให้กินวิตามินรวม หรือวิตามินบีรวม วันละ2-3 เม็ด, หรือถ้าคลื่นไส้ อาจให้ยาแก้อาเจียน ถ้ากินไม่ได้ อาจให้ฉีดกลูโคสหรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ เป็นต้น 2. ถ้าอาการตาเหลืองไม่จางลงใน 2 สัปดาห์ หรือมีไข้สูง อ่อนเพลียมาก น้ำหนักลดมาก ปวดท้องมากหรืออาเจียนมาก หรือพบในคนสูงอายุ ควรแนะนำไปรักษาที่โรงพยาบาล หากมีอาการมากอาจรับไว้รักษาในโรงพยาบาลสักระยะหนึ่งในการติดตามผลการรักษา อาจต้องนัดตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ ประมาณทุก 2-4 สัปดาห์ ผลการรักษา ส่วนใหญ่จะหายดี ตาหายเหลือง หายเพลีย กินข้าวได้มาก และผลเลือดเป็นปกติ ภายใน 3-16 สัปดาห์ ส่วนน้อยอาจเป็นเรื้อรัง ซึ่งถ้าเป็นนานเกิน 6 เดือน เรียกว่า ตับอักเสบเรื้อรัง(มักเกิดกับตับอักเสบชนิดบีหรือซี) ซึ่งอาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ทำสะแกนตับ(Liver scan) หรือเจาะเอาเนื้อตับ พิสูจน์ (Liver biopsy) เพื่อดูว่าเป็นตับอักเสบเรื้อรังชนิดลุกลาม หรือมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่ ถ้าเป็นตับอักเสบเรื้อรังชนิดลุกลามอาจต้องให้การรักษาด้วยยาสเตอรอยด์ เช่น เพร็ดนิโซโลน ข้อแนะนำ 1. ผู้ป่วยโรคนี้ห้ามดื่มเหล้า เพราะอาจทำให้โรคเรื้อรัง หรือกำเริบใหม่ได้ 2. ระหว่างที่เป็นโรค ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ เช่น พาราเซตามอล , เตตราไซคลีน ,ไอเอ็นเอช , อีริโทรไมซิน , ยาคุมกำเนิด เป็นต้น 3. เข็มฉีดยาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคนี้ ควรทิ้งไปเลย ห้ามนำไปใช้ฉีดผู้อื่นต่อ เพราะอาจแพร่เชื้อได้ 4. คนที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นโรคตับอักเสบเสมอไปทุกคน บางคนอาจมีเชื้ออยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว โดยไม่เป็นโรคแล้ว เชื้อหายไปได้เองบางคนอาจมีเชื้ออยู่ในร่างกาย โดยไม่มีอาการแสดงแต่อย่างไร แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่น เราเรียกว่าพาหะนำโรค (carrier) ที่สำคัญ คือ โรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งพบคนที่เป็นพาหะนำโรคตับอักเสบชนิดบี ประมาณ 10% ของคนทั่วไป ประมาณ 50% ของคนทั่วไปจะเคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี และมีภูมิคุ้มกันแล้ว บางคนหลังได้รับเชื้อ อาจมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลียคล้ายไข้หวัดใหญ่ หรือคลื่นไส้อาเจียน จุกเสียดท้อง โดยไม่มีอาการตาเหลืองก็ได้ 5. ผู้ที่เป็นพาหะนำโรคตับอักเสบชนิดบีหรือซี จะพบเชื้อในกระแสเลือดโดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร ควรหาทางพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ห้ามดื่มเหล้า ออกกำลังแต่พอควร ห้ามหักโหมจนเกินไป อย่าอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก งดบริจาคโลหิต และหมั่นตรวจเลือดดูเชื้อและทดสอบการทำงานของตับทุก 6-12 เดือน ผู้ที่เป็นพาหะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจเกิดโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับแทรกซ้อน โดยมากมักจะเกิดกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีหรือซี จากมารดามาตั้งแต่เกิด แล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายจนย่างเข้าวัย 40-50 ปี ก็อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มเหล้า หรือตรากตรำงานหนัก 6. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะนำโรคตับอักเสบชนิดบี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นสามีหรือภรรยาควรตรวจเลือด ถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกันโรค ควรฉีดวัคซีนป้องกัน 7. หญิงตั้งครรภ์ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจเลือดดูว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือไม่ ถ้าพบว่ามีเชื้อ ทารกที่เกิดมาทุกคนจะต้องได้รับการฉีดสารอิมมูนโกลบูลิน (Hepatitis B immune globulin/HBIG) และฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี จะช่วยป้องกันมิให้ทารกติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ 8.การตรวจเลือดวินิจฉัยตับอักเสบชนิดบีสำหรับโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ในปัจจุบันมีวิธีการตรวจเลือด เพื่อการวินิจฉัยโรคนี้ ซึ่งมีศัพท์เฉพาะหลายคำ ที่ใคร่จะขอแนะนำไว้ในที่นี้ ดังนี้ HBsAg หมายถึง แอนติเจนที่อยู่บนผิวของเชื้อไวรัสชนิดบี เรียกว่า Hepatitis B surface antigen HBcAg หมายถึง แอนติเจนที่อยู่ตรงแกนกลางของเชื้อไวรัสชนิดบี เรียกว่า Hepatitis B core antigen HBeAg หมายถึง แอนติเจนส่วนแกนกลางของไวรัสที่ละลายอยู่ในน้ำเลือด สามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะฟักตัวของโรค ก่อนมีอาการแสดง Anti-HBs หมายถึง แอนติบอดี (ภูมิต้านทาน) ต่อแอนติเจน HBsAg ซึ่งจะตรวจพบตั้งแต่ระยะหลังติดเชื้อประมาณ 4-6 เดือนไปแล้ว ผู้ที่มี Anti-HBs จะไม่ติดเชื้อไวรัสชนิดบีอีก Ant-HBc หมายถึง แอนติบอดี (ภูมิต้านทาน) ต่อแอนติเจน HBcAg ซึ่งจะตรวจพบตั้งแต่ระยะหลังติดเชื้อ 4-6 สัปดาห์ไปแล้ว และจะพบอยู่ตลอดไป โดยทั่วไปมักจะเจาะเลือดตรวจหา HBsAg, Anti-HBs และ Anti-HBc ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยโรคดังนี้ (1) ถ้าตรวจไม่พบสารตัวใดตัวหนึ่งดังกล่าวเลย ก็แสดงว่าไม่เคยติดเชื้อ และไม่มีภูมิต้านทานต่อตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี ควรฉีดวัคซีนป้องกัน (2) ถ้าตรวจพบ HBsAg เพียงอย่างเดียว แสดงว่ากำลังติดเชื้อ หรือเพิ่งเป็นโรคนี้ สามารถติดต่อให้ผู้อื่นได้ (3) ถ้าตรวจพบ Anti-HBc เพียงอย่างเดียว แสดงว่าเคยติดเชื้อมาไม่นาน แต่เวลานี้ไม่มีเชื้อแล้วและไม่ติดต่อ (แพร่เชื้อ) ให้ผู้อื่น (4) ถ้าตรวจพบ HBsAg ร่วมกับ Anti-HBc แสดงว่ากำลังติดเชื้อ อาจเป็นแบบเฉียบพลัน หรือเป็นพาหะเรื้อรัง สามารถติดต่อให้ผู้อื่นได้ สำหรับผู้ที่เป็นพาหะเรื้อรัง การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิดบีไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถช่วยกำจัดเชื้อ หรือกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้ได้ (5) ถ้าตรวจพบ Anti-HBc ร่วมกับ Anti-HBs แสดงว่าเคยติดเชื้อมาก่อน และมีภูมิต้านทานแล้ว จะไม่ติดเชื้อซ้ำอีก (6) ถ้าตรวจพบ Anti-HBs เพียงอย่างเดียว แสดงว่าเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน จะไม่เป็นโรคนี้ |
สัญญาณเตือนโรคตับอักเสบ หากมีอาการเหล่านี้ให้ระวังโรคตับอักเสบ
การป้องกัน 1. สำหรับตับอักเสบชนิดเอ ควรกินอาหารสุกที่ไม่มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำสะอาด ถ่ายลงส้วม ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังถ่ายอุจจาะทุกครั้ง 2.สำหรับตับอักเสบชนิดบี 2.1 ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยา หรือให้น้ำเกลือโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องฉีดยา ควรเลือกใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่ทำให้ปราศจากเชื้อโรค 2.2 ในการให้เลือด ควรหลีกเลี่ยงการใช้เลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยการตรวจเช็คเลือดของผู้บริจาคทุกราย 2.3 แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข ควรระมัดระวังในการสัมผัสถูกเลือดของผู้ป่วย เช่น สวมถุงมือขณะเย็บ แผล ผ่าตัด หรือสวนปัสสาวะผู้ป่วย 2.4 ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันตับอักเสบชนิดบี ควรฉีดวัคซีนป้องกัน ในเด็กแรกเกิดควรฉีดตั้งแต่วันแรกที่เกิด วัคซีนชนิดนี้จะฉีดให้ 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 จะห่างจากครั้งแรก 1 และ 6 เดือนตามลำดับ สำหรับผู้ใหญ่ก่อนฉีดวัคซีนชนิดนี้ ควรตรวจเลือดเสียก่อน หากพบว่าเป็นพาหะหรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ 3. หากมี อาการตาเหลือง ปวดแน่นชายโครงขวา เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คลื่นไส้ อาเจียน ให้รีบมาพบแพทย์ |