เบาหวานเป็นกลุ่มอาการของโรคที่ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ตามปกติ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น (ค่าปกติหลังอดอาหาร คือ 70-99 mg/dL)

ชนิดของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานมี 2 ชนิด คือ

เบาหวานชนิดที่ 1หรือเบาหวานที่ต้องพึ่งอินซูลิน  (DM type I /Insulin dependence DM )

เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำลายเบต้าเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายขาดอินซูลิน

เบาหวานชนิดที่ 2 หรือเบาหวานที่ไม่ต้องพึ่งอินซูลิน (DM type II /Non-insulin dependence DM)

เกิดจากร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลินในเซลล์เป้าหมาย เช่น เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ตับ เซลล์ไขมัน     ระดับอินซูลินในเลือดผู้ป่วยอาจต่ำหรือปกติ แต่มีความผิดปกติของการหลั่งอินซูลิน  มีการสร้างกลูโคสเพิ่มขึ้น

ยารับประทานเพื่อลดระดับน้ำตาล: แบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ 1 ออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นการสร้างอินซูลินจากตับอ่อน : กลุ่ม Sulfonylureas  เช่น  Glipizide (Minidiab) , Glibenclamide (Daonil) , Gliclazide(Diamicron) ยานี้ควรทานก่อนอาหาร 30 นาที เพื่อให้มีระดับอินซูลินขึ้นสูงทันกับระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงจากมื้ออาหาร    ผลข้างเคียง ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเมื่อรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือออกกำลังกายมากกว่าปกติ ,  คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ร่วม, ผื่นแพ้ยา, ในระยะแรกอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่ม

กลุ่มที่ 2 ออกฤทธิ์โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของอินซูลิน , ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ เช่น  Metformin (Glucophage) ผลข้างเคียง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ให้ทานยาหลังอาหารเพื่อบรรเทาอาการ กลุ่ม Thiazolidinedione เช่น Pioglitazone (Actos)  ผลข้างเคียง อาจเกิดอาการบวมน้ำ       ยากลุ่มนี้ไม่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินจึงไม่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำ

กลุ่มที่ 3 ออกฤทธิ์โดยการช่วยลดการดูดน้ำตาลจากลำไส้ ทำให้ควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น เช่น   Acarbose (Glucobay) ควรทานยานี้พร้อมอาหารคำแรก เพื่อลดการดูดซึมน้ำตาลจากอาหารในมื้อนั้น ผลข้างเคียง พบบ่อยด้านทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมมาก และท้องเสีย

ข้อแนะนำในการใช้ยารับประทานเพื่อลดน้ำตาลในเลือด

1.   ใช้ยาตามแพทย์สั่ง ไม่ควรใช้ยาร่วมกับผู้อื่นหรือตามคำแนะนำของผู้อื่น

2.   ถ้ากินสมุนไพร ต้องแจ้งแพทย์ทราบ เพราะสมุนไพรบางชนิดมีผลเพิ่มหรือลดระดับน้ำตาลในเลือด

3.   ควรกินยาให้สม่ำเสมอ รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและสม่ำเสมอ ไม่ควรรับประทานยาถ้างดอาหารมื้อนั้น

4.   เมื่อลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ ในกรณีที่รับประทานยาลดน้ำตาลในเลือดวันละ 1 ครั้ง แต่ในกรณีที่ทานยามากกว่า 1 ครั้งต่อวัน ถ้าใกล้ถึงเวลายามื้อต่อไปแล้ว ให้รับประทานยามื้อต่อไปในขนาดเดิม ห้ามนำมื้อที่ลืมทบมาเป็น 2 เท่า เพราะอาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตรายได้

5.   เก็บยาไว้ในอุณหภูมิห้อง ไม่ต้องแช่เย็น หากสีเม็ดยาเปลี่ยนไปไม่ควรใช้

6.   หากเจ็บป่วยไม่สบาย ควรเช็คระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ และไม่ควรขาดยา

7.   หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจทำปฏิกิริยาลดน้ำตาลในเลือด ทำให้เกิดการแพ้ได้ เช่น มีอาการร้อนวูบวาบที่หน้า หน้าแดง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำได้

8.   ควรงดสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่จะทำให้ประสิทธิภาพยาลดระดับน้ำตาลในเลือดลดลง

9.   เมื่อรับยาทุกครั้ง ให้ทวนสอบชนิด ลักษณะ จำนวนยาและวิธีใช้ยา หากสงสัยให้สอบถามเภสัชกรทันที

ยาฉีดอินซูลิน

ฮอร์โมนอินซูลินถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงไม่มียาชนิดนี้ในรูปยากิน อินซูลินแบ่งเป็น 4 ชนิด คือ

อินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็วและสั้น เช่น Humulin-R , Gensulin-R , Actrapid

  • ยามีลักษณะเป็นน้ำใส
  • มีผลลดน้ำตาลได้เร็ว ออกฤทธิ์ภายใน 10 นาที ดังนั้น เมื่อฉีดเสร็จควรรับประทานทานอาหารทันที เพื่อป้องกันการลืม และป้องกันอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • มีฤทธิ์อยู่นาน 5-7 ชั่วโมง
  • ปลอดภัยในสตรีมีครรภ์

อินซูลินที่ออกฤทธิ์เร็วปานกลาง เช่น Humulin-N , Gensulin-N , Insulatard

  • ยามีลักษณะเป็นน้ำขุ่น
  • ออกฤทธิ์ภายในเวลา 2-4 ชั่วโมง
  • มีฤทธิ์อยู่นาน 18-24 ชั่วโมง

อินซูลินผสมชนิดที่ออกฤทธิ์เร็วและปานกลาง เช่น Mixtard , Gensulin-mix , Novomix

  • ยามีลักษณะเป็นน้ำขุ่น
  • ออกฤทธิ์ภายในเวลา 15-30 นาที ดังนั้น ควรฉีดยาก่อนอาหาร ตามคำแนะนำในเอกสารกำกับยา
  • มีฤทธิ์อยู่นาน 24 ชั่วโมง

อินซูลินที่ออกฤทธิ์นาน  เช่น Insulin glargine

  • ระดับอินซูลินจะเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ภายใน 8-14 ชั่วโมง หลังฉีด
  • แล้วคงที่ มีฤทธิ์อยู่นาน 36 ชั่วโมง

การเก็บรักษาอินซูลิน

  • ยาที่ใส่อยู่ในปากกาฉีดไม่ต้องเก็บในตู้เย็น
  • ยาที่ยังไม่เปิดใช้ ควรเก็บยาไว้ในตู้เย็น ห้ามแช่ในช่องแช่แข็ง เพราะทำให้อินซูลินเสื่อมสภาพ
  • กรณีพกพาระหว่างเดินทาง ถ้าแช่เย็นไม่ได้ ให้เก็บในอุณหภูมิที่ไม่เกิน 300C  อยู่ได้นาน 4-6 สัปดาห์

คำแนะนำการใช้ยาฉีดอินซูลิน

  • สามารถฉีดยาได้หลายบริเวณเช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก  ฉีดบริเวณหน้าท้องจะสม่ำเสมอที่สุด ดีที่สุด
  • อย่าฉีดยาซ้ำที่จุดเดียวกัน เพราะอาจเกิดเป็นไตแข็ง ทำให้ยาดูดซึมได้ไม่ดีตำแหน่งที่ฉีดใหม่ควรมีระยะห่างจากครั้งหลังสุดประมาณ 1 นิ้ว
  • ถ้าใช้อินซูลินชนิดออกฤทธิ์ปานกลางหรือนาน (น้ำขุ่น) ควรเขย่าปากกาขึ้น-ลงช้าๆประมาณ 10 ครั้ง ก่อนฉีด
  • ไม่ควรใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคจากผู้อื่นได้     

 

  ข้อมูลจาก เภสัชกรหญิง พัทธ์ธีรา ทิพย์อัครพิชา ผู้จัดการฝ่ายเภสัชกรรม  โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์