MI_1คือภาวะที่ลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดหัวใจ จนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงและตายในที่สุด 

สาเหตุ เกิดจากหลอดเลือดแดงไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัวหรือมีไขมันไปเกาะที่ผนังของหลอดเลือด  ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง  ปริมาณเลือดแดงผ่านได้น้อย  เป็นผลทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและหากหลอดเลือดแดงตีบแคบลงจนอุดตัน  จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้

ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรค

 1. การสูบบุหรี่หรือแม้แต่การได้รับควันบุหรี่โดยอ้อม สารนิโคตินในบุหรี่จะเข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้สารคาร์บอนมอนนอกไซด์ยังเร่งให้เกิดการระคายเคืองต่อผนังหลอดเลือดจนมีการตีบตันเกิดขึ้นได้ ผู้ที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบมาก่อน รวมทั้งผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีควันบุหรี่ประจำมีโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือดมากเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

2. โรคอ้วน คนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติมักจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและมีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงตามไปด้วย โอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจจึงเกิดมากกว่าคนปกติ ความอ้วนจะเร่งให้ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเกิด เร็วขึ้น และมีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ โรคเบาหวาน เบาหวานเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด 2-8 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน

3. ขาดการออกกำลังกาย การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงช่วยลดการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจชนิดต่างๆได้

4. ไขมันในเลือดผิดปกติ  ระดับไขมันตัวไม่ดีหรือแอลดีแอลมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

5. ความดันโลหิตสูง  เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ป่วยมักจะไม่ทราบว่าเป็น ความดันโลหิตสูงมีผลเสียโดยตรงต่อหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ 3 เท่า

6. โรคเบาหวาน

7. ความเครียด

8. ผู้ชายอายุ  40  ปีขึ้นไป  หรือหญิงอายุ  50  ปีขึ้นไป  หรือวัยหลังหมดประจำเดือน

9. ผู้มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

MI_2

อาการ

1. ใจสั่น

2. เจ็บหน้าอก

3. หายใจอึดอัดเหมือนมีอะไรมาทับทรวงอก

4. ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ

5. มีอาการปวดภายในทรวงอกและหัวใจ

6.มีอาการหายใจลำบาก

อาการหลัก คือ  อาการเจ็บหน้าอกจะมีลักษณะเฉพาะได้แก่

1. ตำแหน่งการเจ็บ  มักเป็นตรงกลางหน้าอก  เยื้องลงมาทางลิ้นปี่เล็กน้อย

2. ลักษณะเจ็บ  มักจุก ๆ  แน่น ๆ  อึดอัด  บางทีร้าวไปถึงคอหอย  ไหล่ซ้าย  ข้อศอก  หรือ      ท้องแขนซ้าย  หรือกราม  หรือคอด้านซ้าย

3. มักจะเจ็บอยู่นานราว  5 – 10  นาที  มักจะคลายหายโดยการพัก  ถ้าเจ็บนานกว่านี้และไม่หาย  แสดงว่าอาการขาดเลือดรุนแรงขึ้น

4. บางรายมีอาการใจหวิว  ใจสั่น  ชีพจรเร็วกว่าปกติ  หรือช้ากว่าปกติ  หรือเหงื่อซึม  เป็นลม  หน้ามืด  หมดสติ

MI_3

การวินิจฉัย

1.การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ : เป็นการบันทึกระบบการเหนี่ยวนำไฟฟ้าในห้องหัวใจ และจะสามารถบอกถึงความผิดปกติของอัตราการเต้นและจังหวะของหัวใจได้รวมทั้งบอกให้ทราบได้ว่าส่วนของกล้ามเนื้อหัวใจได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ 

2.การเจาะเลือดเพื่อดูเอ็นไซม์ของหัวใจ  เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย จะทำให้เอ็นไซม์เกิดการรั่วเข้าไปในกระแสเลือด การเพิ่มขึ้นของเอ็นไซม์บ่งบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง

3.การตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการออกกำลังกายบนสายพาน การออกกำลังบนสายพานจะทำให้หัวใจทำงานมากขึ้นซึ่งจะมีผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้น ความผิดปกติจะปรากฏให้เห็นทางคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งจะสามารถแปลผลของความผิดปกติของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้

4.การตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูงของหัวใจ การตรวจชนิดนี้ใช้หลักการตรวจเหมือนอัลตราซาวด์ จะทำให้เห็นการบีบตัวของหัวใจบริเวณที่ขาดเลือดไปเลี้ยงได้

5.การตรวจภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดโดยใช้สารกัมมันตภาพรังสี การตรวจชนิดนี้โดยการฉีดสารกัมมันตภาพรังสีเพื่อดูกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งจะทำให้เห็นบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือดไปเลี้ยงได้

6.การฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ  การตรวจชนิดนี้จะให้ความแม่นยำสูงมากในการดูความรุนแรงของโรค แต่จะต้องทำในห้องปฏิบัติการตรวจสวนหัวใจ โดยการฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่และมีการเอกซเรย์เป็นระยะๆ ซึ่งจะทำให้เห็นตำแหน่งที่ตีบแคบของหลอดเลือดได้   กรณีที่ผู้ป่วยบางรายไม่ต้องการฉีดสีเพื่อดูหลอดเลือดที่ตีบจะใช้การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดหัวใจแทนแต่ให้ความแม่นยำน้อยกว่าการฉีดสี

การรักษาที่ผู้ป่วยจะได้รับ

1. การให้ออกซิเจน

2 การให้ยาแก้ปวด

3. การใช้ยาขยายหลอดเลือด

4. การใช้ยาป้องกันเลือดแข็งตัว หรือ ยาละลายลิ่ม

5. การรักษาด้วยการผ่าตัดทำการเบี่ยงให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจ  เรียกว่าทำ  BYPASS  GRAFT

6. การรักษาด้วยวิธีพิเศษ  เช่น  การถ่างขยายเส้นเลือดด้วยบอลลูน  การกรอเส้นเลือดด้วยหัวกรอ

7. การรักษาอย่างอื่น ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเป็นรายๆไป

โดยทั่วๆไปผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีแพทย์เชี่ยวชาญทางโรคหัวใจโดยเฉพาะผู้ป่วยอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือ ภาวะหัวใจล้มเหลว เกดขึ้นได้ ผู้ป่วยควรจะได้รับการตรวจสัญญาณชีพจรบ่อยๆ  และควรจะได้บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจอยู่ตลอดเวลา

สัญญาณเตือนโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

1. ใจสั่น

2. เจ็บหน้าอก เป็นตรงกลางหน้าอก มักจะเจ็บอยู่นานราว  5 – 10  นาที  มักจะคลายหายโดยการพัก

3. ลักษณะการเจ็บหน้าอก  มักจุก ๆ  แน่น ๆ  อึดอัด  บางทีร้าวไปถึงคอหอย  ไหล่ซ้าย  ข้อศอก  หรือ      ท้องแขนซ้าย  หรือกราม  หรือคอด้านซ้าย

4. หายใจอึดอัดเหมือนมีอะไรมาทับทรวงอก

4. ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ

5. มีอาการปวดภายในทรวงอกและหัวใจ

6. มีอาการหายใจลำบาก

คำแนะนำในการปฏิบัติตัว

1. หลีกเลี่ยงอาหารหวาน  อาหารที่มีไขมัน – กะทิ  รวมทั้งไข่แดง  ทำให้มีการสะสมไขมันในหลอดเลือด  ก่อให้เกิดแผ่นคราบไขมันตามมา

2. ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย  เช่น  ผัก  ปลา  ผลไม้  และอาหารที่มีกากมาก ๆ  เช่น  รำข้าว  ข้าวโพด  ข้าวสาลี  ฯลฯ

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ  อย่างน้อยสัปดาห์ละ  3  ครั้ง  นานครั้งละ  20  นาที  แล้วค่อย ๆ  เพิ่มระยะเวลา  และเพิ่มความถี่ในการออกกำลังกาย

4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่  เพราะในบุหรี่มีสารนิโคติน  และสารอื่น ๆ  ที่จะทำอันตรายต่อผนังบุด้านในหลอดเลือด  การสูบบุหรี่ยังทำให้หลอดเลือดหัวใจหดตัว  เป็นการลดปริมาณเลือดที่จะไปเลี้ยง       กล้ามเนื้อหัวใจ

5. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ  ไม่เครียดกับงาน  ควรทำสมาชิก  หรือฟังเพลงเบา ๆ

6. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน โดยใช้วิธีออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่ถูกต้อง  เช่น  งดขนมหวาน  ผลไม้รสหวานจัด  เพราะหัวใจของคนอ้วนต้องทำงานมากกว่าปกติ

7. ควบคุมความดันโลหิต  และเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

8. ตรวจเช็คสุขภาพอย่างน้อยปีละ  1  ครั้ง  แต่ถ้ามีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็น ๆ หาย ๆ  ควรปรึกษาแพทย์ทันที