วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (Human Papilloma Virus)

โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย และจะมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่า 50 % โดยมีสถิติของผู้เสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และเป็นต้นเหตุทำให้ผู้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตมากกว่าปีละ 270,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 650 คน

ไวรัส HPV ที่มาของการเกิดมะเร็งปากมดลูก

"มะเร็งปากมดลูก" ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่มีสาเหตุสำคัญมาจากการติดเชื้อไวรัส ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แพทย์และนักวิจัยได้พยายามศึกษาหาสาเหตุของโรคร้าย และได้ค้นพบว่าประมาณ 99.7% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก จะตรวจพบไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า HPV (Human Papilloma virus) ตัวเชื้อไวรัสเองนั้นก็มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งส่วนมากจะไม่ทำให้เกิดอาการใด ๆ และมักจะหายไปได้เองตามระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ในจำนวนนี้มีประมาณ 30 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นชนิดที่เกิดการติดเชื้อในบริเวณอวัยวะเพศของหญิงและชาย

ปัจจุบันพบว่า การติดเชื้อ HPV จะพบบ่อยที่สุดในผู้หญิงวัยเยาว์ที่มีอายุระหว่าง 18 - 28 ปี หรือผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ทำให้เรามักจะพบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ จะมีอายุในช่วง 35 - 50 ปี สืบเนื่องมาจากระยะเวลาของการติดเชื้อจนกระทั่งป่วยเป็นโรคนี้ซึ่งใช้เวลานานนับ 10 ปี

สาเหตุหลักของการเป็นมะเร็งปากมดลูก

   เชื้อ HPV ชนิดที่เป็นสายพันธุ์อันตรายและทำให้เซลล์บริเวณปากมดลูกเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็ง ได้แก่ HPV 16 และ 18 นั้น เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูกถึง 70% ซึ่งโอกาสที่จะได้รับเชื้อ HPV เหล่านั้นส่วนมากจะผ่านทางสัมพันธ์รักกับคู่นอน  โดยในบางคนที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อ HPV เหล่านั้นออกไปได้ ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาจนส่งผลให้เป็นมะเร็งปากมดลูกรวมทั้งอาจทำให้เกิดมะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอดได้อีกด้วย

   สำหรับผู้ชายหากมีการติดเชื้อ HPV ก็จะกลายเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสนี้ไปสู่บุคคลที่รักโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ผู้ชายที่ได้รับเชื้อเอชพีวีดังกล่าว ก็อาจมีผลต่อการเกิดมะเร็งทวารหนักและมะเร็งอวัยวะเพศชายได้เช่นกัน

   นอกจากเชื้อ HPV ชนิดที่อันตรายและมีผลต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกแล้วยังมีเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่น ๆที่มีความรุนแรงน้อยแต่ก็อาจนำมาซึ่งโรคติดต่อบางชนิดได้ เช่น โรคหูดอวัยวะเพศ (หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ) เกิดจากการได้รับเชื้อ HPV 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุหลัก 90% ของโรคนี้ ลักษณะของโรคหูดอวัยวะเพศ คือมีตุ่มไตแข็ง หรือติ่งเนื้องอกออกมาบริเวณอวัยวะเพศ โรคนี้ถึงแม้ว่าจะรักษาได้แต่ก็มักจะมีโอกาส กลับมาเป็นซ้ำ ๆ อีก จึงส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจขอผู้ป่วย และทำให้รู้สึกเป็นกังวลกับการที่ต้องรักษาอยู่เรื่อย ๆ

วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

ความสำเร็จจากการค้นพบสาเหตุและวิทยาการของการแพทย์สมัยใหม่ ได้นำมาสู่การพัฒนาเป็นวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (6,11,16,18) ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70% ในส่วนที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่สำคัญ โดยองค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้ให้การรับรองว่าวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์หลักเหล่านี้ได้ 100% ถ้าหากได้รับวัคซีนก่อนที่จะมีการติดเชื้อ นอกจากนี้ วักซีนดังกล่าวยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ชนิดที่ไม่มีผลต่อการเกิดมะเร็ง แต่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศได้อีกด้วย

ด้วยประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด รวมทั้งโรคหูดอวัยวะเพศ ทำให้วัคซีนมะเร็งปากมดลูกชนิด 4 สายพันธุ์ (6,11,16,18) นี้ ได้รับการยอมรับและผ่านการอนุมัติการใช้แล้วในประเทศไทย และกว่า 70 ประเทศทั่วโลกนอกจากนี้ในประเทศชั้นนำอย่างออสเตรเลีย และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา ยังได้ประกาศให้วัคซีนนี้เป็นภาคบังคับ สำหรับเด็กหญิงและผู้หญิงในช่วง อายุ 9-26 ปี อย่างไรก็ดีขณะนี้การวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีนยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง และได้ขยายผลครอบคลุมมาสู่กลุ่มผู้หญิงในช่วงอายุ 27-45 ปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้วการตรวจพบแปบสเมียร์ ( PAP SMEAR ) อย่างสม่ำเสมอก็เป็นเรื่องที่สูติ-นรีแพทย์ ยังคงแนะนำให้ปฏิบัติอยู่ในส่วนของเชื้อ HPV เฉพาะสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุหลัก 70% ของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ในขณะที่เราอาจจะยังมีโอกาสติดเชื้อ HPV ในสายพันธุ์อื่น ๆ อีก 30% ที่อาจมีผลต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกัน
การป้องกันเพื่อห่างไกลจากมะเร็งปากมดลูก

โดยมีข้อแนะนำดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย จากพฤติกรรมของการมีเพศสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน

  • ควรจะให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่เรียกว่า"แปบสเมียร์" (Pap Smear) ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วโดยควรที่จะรับการตรวจเป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อให้เราทราบว่า เซลล์บริเวณปากมดลูกมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติหรือไม่     


  • วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนี้ ต้องฉีดกี่เข็มและจะป้องกันได้นานเท่าไหร่
  • คุณจะต้องได้รับวัคซีนทั้งหมด 3 เข็ม ภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยฉีดเข็มแรกแล้วจึงฉีดเข็มถัดมาในเดือนที่ 2 จากนั้น จึงฉีดเข็มสุดท้ายในเดือนที่ 6 จากข้อมูลการศึกษาได้ยืนยันว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจะอยู่ได้อย่างน้อย 5 ปี ทั้งนี้ปัจจุบันการศึกษาระยะเวลาของการป้องกันยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง เพื่อดูว่าภูมิคุ้มกันอาจจะสามารถอยู่ได้ถึง 10 ปี หรือมากกว่านั้น จากการศึกษาในผู้หญิงอายุ 9-55 ปี พบว่าการฉีดวัคซีนเอชพีวีอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่อาจมีอาการบวม แดง มีไข้ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงเหมือนการฉีดวัคซีนอื่นๆ จากการติดตามหลังฉีดแล้ว 6 ปี พบว่าภูมิคุ้มกันเชื้อเอชพีวีอยู่ในระดับที่สูงพอ จึงยังไม่มีข้อบ่งชี้ให้ฉีดกระตุ้นซ้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเอชพีวีในผู้ชาย และในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์  

    ท่านที่กำลังจะฉีดวัคซีน สามารถปรึกษาสูติ-นรีแพทย์หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ We care โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์ โทร 02-361-1111 ค่ะ