วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
วันเสาร์ที่ 3 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2555
โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย และจะมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่า 50 % โดยมีสถิติของผู้เสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และเป็นต้นเหตุทำให้ผู้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตมากกว่าปีละ 270,000 คน หรือเฉลี่ยวันละ 650 คน
"มะเร็งปากมดลูก" ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่มีสาเหตุสำคัญมาจากการติดเชื้อไวรัส ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แพทย์และนักวิจัยได้พยายามศึกษาหาสาเหตุของโรคร้าย และได้ค้นพบว่าประมาณ 99.7% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก จะตรวจพบไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า HPV (Human Papilloma virus) ตัวเชื้อไวรัสเองนั้นก็มีหลายสายพันธุ์ ซึ่งส่วนมากจะไม่ทำให้เกิดอาการใด ๆ และมักจะหายไปได้เองตามระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ในจำนวนนี้มีประมาณ 30 สายพันธุ์ ซึ่งเป็นชนิดที่เกิดการติดเชื้อในบริเวณอวัยวะเพศของหญิงและชาย
ปัจจุบันพบว่า การติดเชื้อ HPV จะพบบ่อยที่สุดในผู้หญิงวัยเยาว์ที่มีอายุระหว่าง 18 - 28 ปี หรือผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว ทำให้เรามักจะพบว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ จะมีอายุในช่วง 35 - 50 ปี สืบเนื่องมาจากระยะเวลาของการติดเชื้อจนกระทั่งป่วยเป็นโรคนี้ซึ่งใช้เวลานานนับ 10 ปี
เชื้อ HPV ชนิดที่เป็นสายพันธุ์อันตรายและทำให้เซลล์บริเวณปากมดลูกเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็ง ได้แก่ HPV 16 และ 18 นั้น เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูกถึง 70% ซึ่งโอกาสที่จะได้รับเชื้อ HPV เหล่านั้นส่วนมากจะผ่านทางสัมพันธ์รักกับคู่นอน โดยในบางคนที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อ HPV เหล่านั้นออกไปได้ ก็จะทำให้เกิดการพัฒนาจนส่งผลให้เป็นมะเร็งปากมดลูกรวมทั้งอาจทำให้เกิดมะเร็งช่องคลอด และมะเร็งปากช่องคลอดได้อีกด้วย
สำหรับผู้ชายหากมีการติดเชื้อ HPV ก็จะกลายเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสนี้ไปสู่บุคคลที่รักโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ผู้ชายที่ได้รับเชื้อเอชพีวีดังกล่าว ก็อาจมีผลต่อการเกิดมะเร็งทวารหนักและมะเร็งอวัยวะเพศชายได้เช่นกัน
นอกจากเชื้อ HPV ชนิดที่อันตรายและมีผลต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกแล้วยังมีเชื้อ HPV สายพันธุ์อื่น ๆที่มีความรุนแรงน้อยแต่ก็อาจนำมาซึ่งโรคติดต่อบางชนิดได้ เช่น โรคหูดอวัยวะเพศ (หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ) เกิดจากการได้รับเชื้อ HPV 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุหลัก 90% ของโรคนี้ ลักษณะของโรคหูดอวัยวะเพศ คือมีตุ่มไตแข็ง หรือติ่งเนื้องอกออกมาบริเวณอวัยวะเพศ โรคนี้ถึงแม้ว่าจะรักษาได้แต่ก็มักจะมีโอกาส กลับมาเป็นซ้ำ ๆ อีก จึงส่งผลเสียต่อสภาพจิตใจขอผู้ป่วย และทำให้รู้สึกเป็นกังวลกับการที่ต้องรักษาอยู่เรื่อย ๆ
ความสำเร็จจากการค้นพบสาเหตุและวิทยาการของการแพทย์สมัยใหม่ ได้นำมาสู่การพัฒนาเป็นวัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ (6,11,16,18) ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70% ในส่วนที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่สำคัญ โดยองค์การอาหาร และยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) ได้ให้การรับรองว่าวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์หลักเหล่านี้ได้ 100% ถ้าหากได้รับวัคซีนก่อนที่จะมีการติดเชื้อ นอกจากนี้ วักซีนดังกล่าวยังสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ชนิดที่ไม่มีผลต่อการเกิดมะเร็ง แต่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศได้อีกด้วย
ด้วยประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด รวมทั้งโรคหูดอวัยวะเพศ ทำให้วัคซีนมะเร็งปากมดลูกชนิด 4 สายพันธุ์ (6,11,16,18) นี้ ได้รับการยอมรับและผ่านการอนุมัติการใช้แล้วในประเทศไทย และกว่า 70 ประเทศทั่วโลกนอกจากนี้ในประเทศชั้นนำอย่างออสเตรเลีย และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา ยังได้ประกาศให้วัคซีนนี้เป็นภาคบังคับ สำหรับเด็กหญิงและผู้หญิงในช่วง อายุ 9-26 ปี อย่างไรก็ดีขณะนี้การวิจัยประสิทธิภาพของวัคซีนยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง และได้ขยายผลครอบคลุมมาสู่กลุ่มผู้หญิงในช่วงอายุ 27-45 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกแล้วการตรวจพบแปบสเมียร์ ( PAP SMEAR ) อย่างสม่ำเสมอก็เป็นเรื่องที่สูติ-นรีแพทย์ ยังคงแนะนำให้ปฏิบัติอยู่ในส่วนของเชื้อ HPV เฉพาะสายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุหลัก 70% ของการเกิดมะเร็งปากมดลูก ในขณะที่เราอาจจะยังมีโอกาสติดเชื้อ HPV ในสายพันธุ์อื่น ๆ อีก 30% ที่อาจมีผลต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้เช่นกันโดยมีข้อแนะนำดังนี้
หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย จากพฤติกรรมของการมีเพศสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน
ควรจะให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่เรียกว่า"แปบสเมียร์" (Pap Smear) ซึ่งปัจจุบันสามารถทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วโดยควรที่จะรับการตรวจเป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อให้เราทราบว่า เซลล์บริเวณปากมดลูกมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติหรือไม่