ชีวิตคนเราเจริญได้เพราะอาศัย “ ปาก “ มาโดยตลอด  เพราะปากเป็นทางผ่านของอาหารและน้ำที่หล่อเลี้ยงจนเติบใหญ่ หรืออ้วนเกินสมบูรณ์   เป็นที่สร้างวจีกรรมนำให้รุ่งเรืองก้าวหน้าหรือตกต่ำ    ปาก ( และฟัน )  จึงรับบทหนักในการเคี้ยวย่อยอาหาร สารพัดชนิดที่คนเราสรรหานำเข้าปาก  ทั้ง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม เหนียว แข็ง  สุก ดิบ  หมากพลู บุหรี่ เหล้า ฯลฯ  เวลาป่วยก็ยัง ต้องอาศัยปากเป็นทางผ่านของยา   แม้แต่โรคบางโรค  เวลานอนก็อาจไม่ได้พักเพราะต้องใช้ปากหายใจแทนจมูก  เมื่อปากถูกใช้งานอย่างหนักหรือได้รับการดูแลรักษาความสะอาดไม่เพียงพอ   อาจเกิดปากไม่ดี (ป่วย) ด้วยโรคที่เกี่ยวเนื่องได้หลากหลาย   หากเป็นโรคร้ายแรงก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม  เช่น มะเร็งในช่องปาก  ทำให้ไม่สามารถส่งต่ออาหารหล่อเลี้ยงร่างกายได้    โรคและความผิดปกติที่พบได้บ่อย  เช่น

  • ฟันผุ

หมายถึง การสูญเสียเนื้อฟัน และเคลือบฟัน ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งของฟันไป โดยกระบวนการย่อยสลาย ที่เกิดจากแบคทีเรียที่มีอยู่ในช่องปาก ทำการย่อยเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในปาก ทำให้เกิดกรดขึ้นทำปฏิกิริยากับแร่ธาตุ ที่เป็นองค์ประกอบของเคลือบฟัน และเนื้อฟัน  เกิดการเสียสมดุลของแร่ธาตุบนตัวฟัน เนื้อฟันจึงอ่อนตัว และหลุดไป  เกิดเป็นหลุม หรือโพรงขึ้น เรียกว่า รูผุของฟัน (Cavitation)  ในภาวะที่มีสารประกอบฟลูออไรด์ในน้ำลาย จะช่วยเร่งให้ปฏิกิริยาการคืนกลับของแร่ธาตุได้ดีขึ้น  จึงสามารถยับยั้งการผุของฟัน ระยะแรกไม่ให้ลุกลามต่อไปอีก

  • โรคปริทันต์

เกิดขึ้นกับอวัยวะปริทันต์ ที่อยู่รอบฟัน ได้แก่ เหงือก เคลือบรากฟัน เอ็นยึดปริทันต์ และกระดูกเบ้าฟัน เกิดขึ้นได้ทั้งชนิดเฉียบพลัน และเรื้อรัง ส่วนใหญ่เป็นชนิดเรื้อรัง มีการดำเนินโรคตั้งแต่วัยเด็ก หรือวัยรุ่น ซึ่งอาการไม่รุนแรงนัก คือ มีการอักเสบบวมแดงที่ขอบเหงือก มีเลือดออกเมื่อแปรงฟัน  ซึ่งมักจะละเลยทำให้โรคดำเนินต่อไปจนถึงระยะรุนแรง (Advanced Periodontitis) อาการแสดงได้แก่ มีอาการปวด ฟันโยก มีฝีปลายรากฟัน มีหนองเกิดขึ้น ซึ่งเป็นระยะที่อวัยวะปริทันต์ถูกทำลายไปมาก จนไม่สามารถรักษาฟันให้คงอยู่ได้ โรคปริทันต์จึงเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการสูญเสียฟันในวัยผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ

  • โรคเหงือกอักเสบ

เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคที่สะสมรอบๆตัวฟัน โดยเหงือกจะมีลักษณะบวม แดง เป็นมัน ดูฉุๆ หากถูก

ขนแปรงตอนแปรงฟัน หรือลองใช้ไม้จิ้มฟันสอดเข้าไปในร่องเหงือกจะมีเลือดซึมออกมาได้ บริเวณที่เห็นได้ง่ายคือซอกฟันซึ่งเป็นบริเวณที่มักพบโรคก่อน

  • แผลในช่องปาก

ที่พบบ่อย ได้แก่ แผลร้อนใน บางทีเรียก แผลปากเปื่อย  เริ่มจากเป็นรอยบวมแดงๆ 2-3 วัน จากนั้นจะแตกออกเป็นแผล มีลักษณะเป็นรอยหวำตื้นๆ ส่วนใหญ่เป็นรูปไข่ มีเยื่อเมือกบางๆ สีขาว หรือสีเหลืองปกคลุมอยู่ ขอบแผลเล็กๆสีแดงล้อมรอบ ขนาดของแผลไม่โตมากนัก ตั้งแต่หัวเท่าเข็มหมุดจนถึงขนาดใหญ่มาก แผลจะเกิดได้ทั่วไปในช่องปาก ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน เนื่องจากมีอาการปวดแสบปวดร้อน ในระยะ 3-4 วัน รอยแผลจะหายได้เอง ใน 7-10 วัน

สาเหตุการเกิดแผลในปาก

1. แผลร้อนใน   :   เกิดขึ้นเอง มักเกิดขึ้นในช่วงอายุ 10-30 ปี มีคนในครอบครัวเคยเป็น อาจจะมีอาการไข้ต่ำๆ เจ็บคอได้บ้าง  แต่ไม่ควรมีอาการอื่นๆนอกเหนือจากนั้นมากนัก

2. แผลจากการบดขยี้เสียดสี    :   คือการเกิดแผลตามหลังการกัดไปถูกปาก หรือการถูกกระทบกระแทกจากภายนอก สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือการเคี้ยวกลืนอาหารแข็งแห้ง เช่น ขนมกรุบกรอบ ที่ทำให้เกิดแผลเล็กๆที่ไม่รู้สึกในตอนแรกได้ง่าย

3. แผลจากโรคติดเชื้อ    :   จากเชื้อไวรัสโดยเฉพาะพวกเริม แต่ก็มีโรคอีกหลายตัวที่ทำให้เกิดแผลในปากได้ เช่น ซิฟิลิส  โรคมือเท้าปาก เชื้อรา ฯลฯ ซึ่งโรคเหล่านี้ต้องอาศัยประวัติอาการ และอาการที่เกิดร่วมกันในการประเมิน

4. แผลจากโรคกลุ่มภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ : เช่น SLE(โรคแพ้ภูมิตนเอง,โรคพุ่มพวง) Reiter’s , Behcet’s 

5. แผลมะเร็ง

6. แผลจากการแพ้หรือระคายเคือง    : โดยทำให้เนื้อเยื่อเกิดความอ่อนแอลงและเกิดแผลได้ง่าย

7. แผลจากยา   : ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs และยาลดความดันกลุ่ม Bata Blocker ทำให้เกิดแผลได้โดยที่ไม่เกี่ยวกับการแพ้

  • เริม

เกิดจากเชื้อไวรัส  พบบ่อยที่ริมฝีปาก  มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองเป็นกลุ่ม  ยาที่ใช้  เช่น Acyclovir Cream   บรรเทาอาการ  สามารถกลับเป็นซ้ำได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ เครียด พักผ่อนน้อย  เพราะเชื้อไวรัส

สามารถหลบไปซ่อนตัวตามปมประสาทได้

  • ลิ้นเป็นฝ้าขาว

สาเหตุ   :

- คราบสกปรกที่ลิ้น จากการทำความสะอาดไม่ดี                     - เยื่อบุของลิ้นมีแผล

- ช่องปากอักเสบ ต่อมน้ำลายอักเสบ                                 - เชื้อราที่ลิ้นและเยื่อบุปาก

- ผลจากอมเม็ดอมในปากเป็นประจำ                                  - ฟันผุ และหินปูนในปาก

- เศษอาหารหรือ คราบอาหารหลังรับประทานอาหาร เช่น คราบขนม, นม (ในเด็ก) เป็นต้น

ยาที่ใช้ในช่องปาก

  • ยาป้ายปากเพื่อรักษาอาการอักเสบของช่องปาก

-           ยาป้ายจำพวกสเตียรอยด์   :  Triamcinolone acetonide oral paste  สำหรับใช้ภายในปากใช้ทาเฉพาะที่ในการรักษาแผลในช่องปาก

ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ โดยทายาตรงบริเวณที่ต้องการใช้เป็นแผ่นบาง ๆ แต่อย่าถูเข้าไป ควรใช้ยาเวลาก่อนนอน เพื่อให้ตัวยาสัมผัสกับแผลได้ตลอดคืน ในบางรายที่จำเป็น ต้องทายาวันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร ถ้าบริเวณที่ทายา ไม่มีอาการดีขึ้นภายใน 7 วัน ควรหยุดยาและปรึกษาแพทย์

  • ยาป้ายรักษาอาการฝ้าขาวที่ลิ้น

0.5% - 1% gentian violet   :   ได้ผลดีในการรักษาโรคติดเชื้อราชนิด Candida

-           วิธีใช้  :    ทาวันละ 1-2 ครั้ง นาน 5-7 วัน

-           ข้อดี   :    ได้ผลดี ราคาถูก

-           ข้อเสีย  :   สีม่วงติดที่บริเวณผิวหนังที่ทายา

2% Miconazole oral gel    :   สำหรับป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อราในช่องปาก ลำคอ และทางเดินอาหาร

-     วิธีใช้  :  ขนาดการใช้ขึ้นกับอายุของผู้ป่วย ปกติทาวันละ 2 - 4 ครั้ง โดยควรใช้ยาต่อเนื่องอย่างน้อย 2 วันหลังจากอาการหาย  หรือดีขึ้นแล้ว

  • น้ำยาบ้วนปาก

เป็นที่รู้กันดีว่า การแปรงฟันเป็นวิธีป้องกันโรคฟันผุและโรคเหงือกอักเสบที่ได้ผลที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดแผ่นคราบฟันและคราบจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นจากเศษอาหารตกค้างอีกด้วย ทันตแพทย์จึงแนะนำให้แปรงฟันทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร ซึ่งในความจริงเป็นไปได้ยากเต็มที สิ่งที่ช่วยได้อย่างหนึ่งคือ การบ้วนปาก โดยวิธีบ้วนปากที่ได้ผลคือ การดันกระพุ้งแก้มให้น้ำเคลื่อนไปด้านซ้ายและด้านขวา หน้าและหลัง บ้วนปากเช่นนี้ซ้ำ 2-3 ครั้ง จะรู้สึกว่าช่องปากสะอาดขึ้นมาก  ในท้องตลาดมีน้ำยาบ้วนปากหลายชนิด จำเป็นต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและไม่เกิดอันตรายต่อช่องปากและฟันเป็นหลัก    จำแนกได้ดังนี้

•          น้ำยาบ้วนปากที่ช่วยให้ลมปากสดชื่น : ส่วนผสมที่สำคัญคือ ยาฆ่าเชื้อโรคและสารที่ทำให้มีกลิ่นหอม ช่วยให้ลมปาก       สดชื่น แต่มีผลแค่ชั่วคราว เพราะเชื้อในช่องปากมีหลายชนิด และยาฆ่าเชื้อที่ใส่ลงไป ก็มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้ออย่างอ่อนๆ เท่านั้น  ถ้าใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เข้มข้นเกินไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือใช้น้ำยาบ้วนปากที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียแบบเข้มข้นสูงเกินไป ล้วนอาจทำให้สมดุลในช่องปากเสียไป อาจเกิดความผิดปกติของเนื้อเยื่อในช่องปากได้

•          น้ำยาอมบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุได้ : ปกติเราได้รับฟลูออไรด์จากอาหารที่กินและน้ำที่ดื่มอยู่แล้ว  การใช้ฟลูออไรด์ที่ได้ผลดี ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพที่สุดคือ การใช้ในรูปของยาสีฟัน ซึ่งเราใช้เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว   ส่วนการใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์หลังการแปรงฟัน แม้มีรายงานว่า สามารถลดการเกิดฟันผุได้ แต่หากได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปหรือเกิดการสะสมก็อาจส่งผลเสีย เช่น ทำให้ฟันตกกระ มีความผิดปกติในการสร้างกระดูกได้ เป็นต้น

•          น้ำยาบ้วนปากที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก : ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มียาฆ่าเชื้อแบคทีเรียในผู้ป่วยที่มีเหงือกอักเสบลุกลาม     หรือผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคเหงือกโดยวิธีผ่าตัด   เพื่อให้แผลผ่าตัดหรือเหงือกอักเสบหายเร็วขึ้น   การใช้น้ำยาบ้วนปากประเภทนี้จึงควรใช้เมื่อทันตแพทย์แนะนำเท่านั้น

•          น้ำยาบ้วนปากที่ผสมคลอเฮกซีดีน : คลอเฮกซีดีนที่ผสมในน้ำยาบ้วนปากมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการเกิดแผลในช่องปาก ลดการเกิดฟันผุ และบรรเทาอาการเจ็บคอได้ แต่ข้อเสียคือน้ำยาจะขมมากและหากใช้ติดต่อกันนานๆ มักทำให้เกิดคราบสีเหลืองปนน้ำตาลบนตัวฟัน และอาจทำให้การรับรสอาหารเสียไปด้วย

•          น้ำยาบ้วนปากที่มีสารสกัดจากพืชหรือสมุนไพร : สารสกัดจากพืชหรือสมุนไพรช่วยให้มีกลิ่นหอมและรสชาติดีขึ้น ระงับกลิ่นปาก และลดการอักเสบในช่องปากได้ เนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อโรค ลดการเกิดคราบจุลินทรีย์ได้บ้างเช่นกัน

•          น้ำยาบ้วนปากที่ระบุใช้ก่อนแปรงฟัน : วัตถุประสงค์เพื่อให้คราบจุลินทรีย์อ่อนตัวและหลุดออกง่าย โดยใช้อมก่อนการแปรงฟันเพื่อช่วยให้การแปรงฟันมีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ก็ไม่มีผลแตกต่างนักจากผู้ที่ไม่ได้ใช้  โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังบ้วนปากไม่ได้ดีนักยิ่งไม่เหมาะและไม่จำเป็น     การใช้น้ำยาบ้วนปากที่ดีต้องใช้ปริมาณที่พอเหมาะ อมกลั้วปากให้นานพอ มีความถี่ในการใช้สม่ำเสมอเพียงพอจึงจะได้ผลเต็มที่   ที่สำคัญน้ำยาบ้วนปากที่ทำออกมาขาย ในลักษณะที่มีความเข้มข้นมาก ก่อนใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจาง มิฉะนั้นจะเกิดอาการแสบร้อน ชาและไม่รับรู้รสชาติสักพักหนึ่ง

  • ยาพ่นรักษาอาการเจ็บคอ

โดยทั่วไปอาการเจ็บคอมักเป็นอาการที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อบริเวณอวัยวะในลำคอ เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ (tonsillitis), กตลำคอส่วนบน (pharyngitis)   แต่ทั้งนี้อาการเจ็บคอไม่จำเป็นต้องมาจากการติดเชื้อเสมอไป   แต่มาจากปัจจัยอื่นๆ  เช่น การอักเสบของเส้นเสียงจากการใช้เสียงมากเกินไป หรือจากอาการแพ้อากาศ   ดังนั้นความเชื่อที่ว่าหากมีอาการเจ็บคอต้องรับประทานยาแก้อักเสบฆ่าเชื้อทุกครั้งจึงเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง   เพราะการใช้ยาฆ่าเชื้อต้องใช้กรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น  หากเป็นอาการเจ็บคอที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ดังที่กล่าวมาการใช้ยาชนิดนี้จะไม่มีผล  ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองและเพิ่มความเสี่ยงต่อการดื้อยาในอนาคต

ตัวอย่างยาพ่นกลุ่มนี้  ได้แก่ :-

1.ยาทำจากน้ำมันหอมระเหย (เช่น ยี่ห้อ Kamilosan-M spray ) เป็นที่นิยมใช้มากๆ ในการลดอาการเจ็บคอ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยชนิดต่างๆที่ผสมในตัวยานั้นมีคุณสมบัติออกฤทธิ์ได้หลายประการ เช่น ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, ฤทธิ์เพิ่มสารคัดหลั่งในบริเวณทางเดินหายใจ (คุณสมบัติข้อนี้มีผลลดอาการระคายเคืองของทางเดินหายใจได้ ใช้สำหรับอาการไอภูมิแพ้และอาการระคายเคืองเจ็บคอ), ฤทธิ์ลดอาการอักเสบ และตัวยาแผนปัจจุบันอีก 1 ชนิดคือ คือ เมทิลซาลิไซเลท ก็คือตัวยาที่ถูกพัฒนามาจากแอสไพริน (aspirin) ซึ่งใช้เป็นยาสำหรับลดอาการบวมและอักเสบ ยาพ่นชนิดนี้ค่อนข้างปลอดภัย เพราะตัวยาไม่ได้เข้าไปในร่างกายโดยตรง หรือสามารถผ่านเข้าไปได้น้อยมาก สามารถใช้ได้ทั้งในผู้ป่วยโรคตับ ไต ไม่มีข้อมูลการใช้ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร จึงควรระมัดระวังในการใช้ และควรหลีกเลี่ยงในผู้ที่มีประวัติแพ้ยาจำพวกแอสไพริน

2. โพวิโดนไอโอดีน (เช่น ยี่ห้อ Isodine spray)  เป็นยาฆ่าเชื้อ   เหมาะกับผู้ที่มีอาการเจ็บคอจากการติดเชื้อ   สามารถใช้ได้ค่อนข้างปลอดภัยในผู้ป่วยหลายๆ กลุ่มเพราะเป็นยาใช้ภายนอก แต่ให้ระมัดระวังในผู้หญิงตั้งครรภ์และมีประวัติเป็นโรคไทรอยด์

  • ยาชา

ที่ใช้ในช่องปากที่นิยมใช้กันมากในประเทศไทยคือ Lidocaine  อาจมีการผสมสารให้ความหวาน ทำให้ใช้ง่ายในเด็ก  ยานี้ใช้สำหรับทำให้ชาในช่องปาก และทางเดินอาหารส่วนบน   มีคุณสมบัติเหนียวมาก กระจายตัวได้ดี แทรกเข้าไปตามซอกต่างๆได้ดี เนื่องจากเหนียวจึงติดตามผิวเยื่อบุได้นานจนฤทธิ์ยาชามีมากพอเพียง

ยาที่ใช้ทางช่องปากแต่ไม่ได้รักษาอาการที่ช่องปากโดยตรง

  • ยาอมใต้ลิ้น

เป็นยาที่มีฤทธิ์ขยายหลอดเลือด  ช่วยให้หลอดเลือดที่อุดตันหรือตีบนั้นถ่างออก เลือดจึงไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ ทำให้อาการเจ็บหน้าอกหายไป ใช้ในผู้ที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด จึงควรพกยาอมใต้ลิ้นติดตัวเสมอ โดยไม่แบ่งยาอมใต้ลิ้นจากขวดบรรจุใส่ซองพลาสติก เมื่อเกิดอาการเจ็บหน้าอก จะได้หยิบใช้ได้ทันที

วิธีใช้ยาอมใต้ลิ้นที่ถูกต้อง

* เริ่มตั้งแต่ หากมีอาการแน่นหน้าอกให้นั่งลงบน หลังพิงกำแพง เสา ตู้ หรือต้นไม้ หรือให้มีคนช่วยประคองหลังไว้ นำยา 1 เม็ด (ห้ามใช้เกิน ครั้งละ 1 เม็ด) ออกจากขวดบรรจุ แล้ววางไว้ใต้ลิ้น (ห้ามเคี้ยว ทำให้แตก หรือบดยา) จากนั้นปิดปาก และอมยาไว้ โดยไม่กลืนน้ำลาย ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มใดๆ ตามลงไป ปล่อยให้ยาค่อยๆ ถูกดูดซึม ผ่านหลอดเลือดบริเวณใต้ลิ้น อาการ เจ็บหน้าอกจะค่อยๆ บรรเทาลงภายใน 1-2 นาที

* ถ้าหลังจากอมยาไปแล้ว 5 นาที อาการยังไม่ดีขึ้น ให้อมยาเม็ดที่ 2 รอดูอาการอีก 5 นาที

* ถ้ายังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่ ให้อมยาเม็ดที่ 3 แล้วรีบไปโรงพยาบาล เพราะหากอมยาไป 3 เม็ดแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นนั้น มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย อันจะส่งผลต่อไปให้การทำงานของหัวใจผิดปกติ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

ยาอมใต้ลิ้นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงพยาบาล คือ ยาในกลุ่มไนเตรต ได้แก่ ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerin) และไอโซซอร์ไบด์ ไดไนเตรต (Isosorbide dinitrate) ซึ่งมีข้อแตกต่างกัน คือ ยา nitroglycerin มีระยะเวลาที่ยาเริ่มออกฤทธิ์เร็วกว่าและระยะเวลาในการออกฤทธิ์ของยานานกว่า Isosorbide dinitrate และยังมีข้อบ่งใช้ในโรคปวดเค้นหัวใจแบบเรื้อรัง (chronic angina pectoris) แต่เมื่อละลายจะรู้สึกเผ็ดร้อนที่ใต้ลิ้น มีอาการหน้าแดง (flush) หรือปวดหัวได้

  • ยาพ่นแก้หอบ

โรคหอบหืดเป็นโรคของหลอดลมที่มีการอักเสบเรื้อรัง [Chronic inflammatory] เป็นผลให้มี cell ต่างๆ เช่นmastcell,eosinophils,Tlymphocyte,macrophage,neutrophil มาสะสมที่เยื่อบุผนังหลอดลม ทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้ และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ[bronchial hyper-reactivity] ผลจากการอักเสบจึงทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมมีการหนาตัว กล้ามเนื้อหลอดลมมีการหดเกร็งตัว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด และหอบเหนื่อย อาการหอบเหนื่อยจะเกิดขึ้นทันทีที่ได้รับสารภูมิแพ้

ยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคหอบหืด

1.ยาต้านการอักเสบ

1.1        ยาสเตียรอยด์ : เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา โรคหอบหืด สำหรับผู้ป่วยเด็ก และผู้ใหญ่ ยานี้มีทั้งรูปแบบยาเม็ดสำหรับรับประทาน และรูปแบบพ่นเข้าสู่หลอดลมโดยตรง อย่างไรก็ตามยาในรูปแบบพ่นถือได้ว่าเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาของคนไข้หอบหืดเรื้อรัง และมีความปลอดภัยสูง เพราะปริมาณยาที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายน้อย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงใดๆจากการใช้ยานี้

ส่วนยาในรูปแบบรับประทานจะใช้รับประทานเมื่อมีอาการกำเริบอย่างรุนแรงหรือไม่สามารถจะพ่นยาได้ และจะใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น คือ ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่หากผู้ป่วย โรคหอบหืด รับประทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานอาจพบผลข้างเคียงขึ้นได้เช่น น้ำหนักตัวเพิ่ม ความดันโลหิตสูง ตาเป็นต้อ กระดูกผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และบวมตามที่ต่างๆ

1.2 โครโมลิน และนิโดโครมิล : เป็นยาพ่นที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และลดการอักเสบที่จะเกิดขึ้นจากการออกกำลังกายหรืออากาศเปลี่ยน

2.ยาขยายหลอดลม  ยาประเภทนี้จะช่วยขยายหรือคลายกล้ามเนื้อรอบๆหลอดลมที่หดเกร็งตัว 

2.1 ยากลุ่มเบต้าอะโกนิส : ที่ใช้แพร่หลายคือยาพ่นแบบน้ำ และแบบผง อีกทั้งยังมียาเม็ด และยาน้ำในรูปแบบรับ ประทาน รวมทั้งรูปแบบที่ใช้กับเครื่องปั๊ม ยากลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการขยายหลอดลมสูง นิยมใช้ในคนไข้โรคหอบหืด ที่ มีอาการกำเริบเฉียบพลัน แต่ไม่ควรใช้ติดต่อเป็นระยะเวลานาน เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงในภายหลัง เพราะไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของโรคหอบหืด

2.2 ยากลุ่มแซนทีน :  มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และขยายหลอดลม สำหรับใช้ในคนไข้ โรคหอบหืดเรื้อรัง ในปัจจุบันพบได้ทั้งยาฉีดยาน้ำ และยาเม็ด ทั้งรูปแบบธรรมดา เพื่อเพิ่มความสะดวกในการรับประทาน ผลข้างเคียงพบได้น้อย มีความปลอดภัยสูง  รูปแบบของยาพ่นแก้หอบมีหลากหลาย  ใช้ยากง่ายต่างกัน  จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน   เช่น ผู้สูงอายุ  มีแรงลมปากน้อยในการสูดยา  จึงควรใช้ชนิด ACCUHALER  เพราะใช้ง่ายกว่าชนิด INHALER  แต่มีราคาค่อนข้างแพง

ยังมีโรคหรืออาการอื่นๆทางช่องปากอีกหลากหลาย  ที่ต้องใช้การดูแลรักษาและใช้ยาที่เฉพาะเจาะจง   ซึ่งท่านสามารถปรึกษาแพทย์เฉพาะทางได้


ข้อมูลจากฝ่ายเภสัชกรรม  โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์