ยาปฏิชีวนะคืออะไร
วันพุธที่ 30 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 542
ยาปฏิชีวนะ หมายถึงยาที่ใช้ฆ่าหรือชลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย มีหลายกลุ่ม ได้แก่
1. ยากลุ่ม Penicillin ( เพนนิซิลลิน )ได้แก่
1.1. ยากิน ได้แก่ Penicillin V , Amoxicillin , Cloxacillin , Dicloxacillin
1.2. ยาฉีด ได้แก่ Penicillin G , Ampicillin , Benzathine Penicillin
มีหลายชนิดเป็นสูตรผสมเพื่อให้ฆ่าเชื้อที่ดื้อยาได้ เช่น Amoxy – Clavulanic ใช้รักษาการติดเชื้อได้ตั้งแต่ ทางเดินหายใจ , หนองใน , ทางเดินปัสสาวะ , ผิวหนัง , ปอด จนถึง สมอง ฯลฯ เป็นยาที่ใช้กันทั่วไป และมีสถิติการแพ้ยาสูง
2. ยากลุ่ม Carbapenem ( คาบาพีเนม) ได้แก่ Imipenem , Meropenem ใช้รักษาการติดเชื้อในปอด , ช่องท้อง , กระดูกและข้อ ฯลฯ มีเฉพาะยาฉีด มักใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น
3. ยากลุ่ม Cephalosporin ( เซฟฟาโลสปอริน )ได้แก่
3.1. Cephalosporin รุ่นที่ 1ได้แก่ Cephalexin , Cefazolin , Cefaclor
3.2. Cephalosporin รุ่นที่ 2ได้แก่ Cefuroxime , Cefprozil , Cefoxitin , Cefamandol
3.3. Cephalosporin รุ่นที่ 3ได้แก่ Cefotaxime , Ceftriaxone , Ceftazidime , Cefdinir , Cefoperazone , Ceftibuten , Cefixime , Cefditoren
3.4. Cephalosporin รุ่นที่ 4ได้แก่ Cefepime , Cefpirome
ใช้รักษาการติดเชื้อได้กว้างขวางเช่นเดียวกับกลุ่ม Penicillin คนที่แพ้ยา Penicillin ควรระวังการแพ้ยาในกลุ่มนี้
4. ยากลุ่ม Macrolide ( แมคโครไลด์ )ได้แก่ Roxithromycin , Clarithromycin , Azithromycin , Medicamycin ส่วนมากใช้รักษาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ใช้ในคนไข้ที่แพ้ยากลุ่ม Penicillin
5. ยากลุ่ม Fluoroquinolone ( ฟลูโอโรควิโนโลน
ได้แก่ Norfloxacin , Ofloxacin , Ciprofloxacin , Levofloxacin , Moxifloxacin ใช้รักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือ ระบบทางเดินหายใจ
6. ยากลุ่ม Sulfonamide ( ซัลโฟนามายน์ – ซัลฟา )ได้แก่ Sulfadiazine , Sulfasalazin , Co-trimoxazole ใช้ฆ่าเชื้อได้ครอบคลุมเชื้อหลายชนิด
7. ยากลุ่ม Tetracycline ( เตตร้าซัยคลิน )ได้แก่ Tetracycline , Doxycycline , Minocycline , Oxytetracycline ส่วนมากใช้รักษาการอักเสบที่ผิวหนัง
8. ยากลุ่ม Chloramphenicol ( คลอแรมเฟนนิคอล ) ปัจจุบันมีเฉพาะยาหยอดตา , หยอดหู
9. ยากลุ่ม Aminoglycoside ( อะมิโนกลัยโคซายด์ )ได้แก่ Amikacin , Gentamycin , Streptomycin , Kanamycin มีใช้เฉพาะยาฉีด , ยาทาภายนอก ใช้ฆ่าเชื้อได้ครอบคลุมเชื้อหลายชนิด
10. ยากลุ่ม Lincosamide ( ลินโคซามายด์ )ได้แก่ Lincomycin , Clindamycin
11. ยากลุ่ม Polypeptide ( โพลีเปปไตด์ ) ได้แก่ Bacitracin , Colistin , Polymyxin B
12. ยากลุ่ม Glycopeptides ( ไกลโคเปปไทด์ ) ได้แก่ Vancomycin , Bleomycin
13. ยาอื่นๆ ได้แก่ Metronidazole
ผู้ป่วยที่เป็นหวัดไม่จำเป็นจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเสมอไป
โรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่จำเป็นต้องได้รับยาต้านจุลชีพมี 3 ชนิด คือ
1. โรคคอหอยอักเสบจากเชื้อ group A streptococci (group A streptococcal pharyngitis)ในผู้ใหญ่ถ้ามีอาการ 3 ใน 4 ข้อดังนี้ ควรได้รับยาปฏิชีวนะ คือ
- มีไข้สูงเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ไม่ไอ
- ต่อมน้ำเหลืองหน้าขากรรไกรบวมโต
- ต่อมทอนซิลบวมหรือมีตุ่มหนอง
2. โรคไซนัสและเยื่อบุในจมูกอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (bacterial rhinosinusitis)
3. โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis media) ในผู้ป่วยที่
- มีไข้มากกว่าหรือเท่ากับ 39 องศาเซลเซียส หรือ ปวดหูมาก
- มีไข้น้อยกว่า 39 องศาเซลเซียส และ ปวดหูน้อย แต่อายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 6 เดือน
- มีไข้น้อยกว่า 39 องศาเซลเซียส และ ปวดหูน้อย แต่อายุมากกว่า 6 เดือน ร่วมกับการสังเกตอาการแล้วนาน 48-72 ชั่วโมง แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
สำหรับโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่ไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านจุลชีพมี 4 ชนิด คือ
1. โรคคอหอยอักเสบจากเชื้อไวรัส (viral pharyngitis)
2. โรคไซนัสและเยื่อบุในจมูกอักเสบจากเชื้อไวรัส (viral rhinosinusitis)
3. โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (acute otitis media) ในผู้ป่วยที่มีไข้น้อยกว่า 39 องศาเซลเซียส และปวดหูน้อย แต่อายุมากกว่า 6 เดือน
4. โรคหวัด (common cold)
ทำไมจึงไม่ควรกินยาพร่ำเพรื่อ
ยาปฏิชีวนะแม้จะมีมากมายหลายชนิด แต่ละชนิดมีประสิทธิภาพแตกต่างกัน ตามแต่โรค , ชนิดของเชื้อ , สภาพร่างกายของคนไข้ แต่การกินยาพร่ำเพรื่อ การกินยาเกินความจำเป็น การกินยาไม่ตรงกับโรค และ การกินยาไม่ครบคอร์ส ทำให้เกิดการดื้อยาได้ ซึ่งหมายความว่า “ มีคนไข้จำนวนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต “ เพราะไม่มียาตัวใดเลยที่สามารถฆ่าเชื้อนั้นได้ ดังนั้นจึงไม่ควรหาซื้อยาเหล่านี้กินเองโดยไม่หรือไม่ปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร
การแพ้ยาปฏิชีวนะเป็นอย่างไร
ยาปฏิชีวนะเป็นยาที่มีอุบัติการณ์แพ้ยาสูงมาก โดยเฉพาะกลุ่มยาเพนนิซิลลิน และกลุ่มซัลฟา อาการแพ้มีตั้งแต่ ลมพิษ ผื่นคันตามตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หอบ ใจสั่น หน้ามืด บางคนอาจเกิดอาการช็อคได้ เสียชีวิตได้ ถ้าท่านแพ้ยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่ม โอกาสที่ท่านจะแพ้ยาอื่นในกลุ่มเดียวกันมีสูงมาก บางครั้งยังมีโอกาสแพ้ข้ามกลุ่มอีกด้วย ดังนั้นถ้าท่านมีประวัติแพ้ยาตัวใดก็ตาม ท่านควรพกบัตรแพ้ยาติดตัวไว้เสมอ และ โปรดแจ้งประวัติแพ้ยาแก่เภสัชกร , แพทย์ , พยาบาล ทุกครั้งที่ท่านต้องรับยา ไม่ว่าจะเป็นยาฉีดหรือยากิน
ข้อสำคัญ “ อย่าจดจำสีของเม็ดยา ” เนื่องจากยาชนิดเดียวกันอาจอยู่ในแคปซูลคนละสี หรือ ยาสีเดียวกันอาจเป็นยาคนละชนิดก็ได้ ขึ้นกับบริษัทผู้ผลิตยานั้นๆดังนั้นจึงไม่ควรจดจำยาจากสีแคปซูลอย่างเดียว แต่ต้องรู้จักชื่อยาด้วย โดยเฉพาะยาตัวที่เคยแพ้
ยาปฏิชีวนะต่างจากยาแก้อักเสบอย่างไร
ยาอักเสบที่เรียกขานกันโดยทั่วไป อาจหมายถึงยาปฏิชีวนะ แต่ยังมียาแก้อักเสบอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ ยาแก้อักเสบ – ลดบวม ” ใช้รักษา บรรเทาอาการ ปวด บวม แดง ร้อน เช่น ปวดตามกระดูก ข้อ หรือ กล้ามเนื้อ ได้แก่ยา Diclofenac , Piroxicam , Indomethacin , Ibuprofen , meloxicam , Celecoxib ฯลฯ ยากลุ่มนี้มีอุบัติการณ์แพ้ยาสูงเช่นเดียวกัน อาการข้างเคียงที่สำคัญของยาในกลุ่มนี้คือ การระคายเคืองกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานยากลุ่มนี้หลังอาหารทันที การเรียกสั้นๆว่ายาแก้อักเสบ อาจทำให้เข้าใจผิดระหว่างยา 2 กลุ่มนี้ได้
ข้อมูลจากฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์