ศีรษะ...กับยา
วันพุธที่ 30 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 542
ความผิดปกติของหนัง ศีรษะกับยาที่ใช้
โรคหรือความผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องกับศีรษะเกิดขึ้นทั้งอวัยวะองค์ประกอบภายใน เช่น สมอง ระบบประสาทและเยื่อหุ้มสมอง น้ำในสมอง ฯลฯ หรือองค์ประกอบภายนอก เช่น หนังศีรษะ เส้นผม เป็นต้น ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะองค์ประกอบภายนอก เท่านั้น
การรักษา/แก้ไข/ป้องกันความผิดปกติดังกล่าว ในทางการแพทย์มีตัวช่วยหลากหลายวิธี เช่น การผ่าตัด การปลูกถ่ายอวัยวะ การใช้ยารักษา ซึ่งวิธีที่สะดวกและเป็นทางเลือกแรกที่เข้าไปเกี่ยวข้องในทุกกรณีคือ การใช้ยา ตัวอย่างเช่น
1.รังแค
สาเหตุ : ไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากเชื้อราที่อาศัยอยู่บริเวณรูขุมขนของหนังศีรษะชื่อ Malassezia โดยผู้ที่มีปัญหารังแคจะมีเชื้อราชนิดนี้มากกว่าคนปกติ
อาการ : อาจมี หรือไม่มีอาการคันหนังศีรษะร่วมด้วยก็ได้ มีลักษณะเป็นขุยหรือสะเก็ดสีขาวบนหนังศีรษะ พบบริเวณโคนผม เส้นผม หรืออาจร่วงลงมาเกาะเสื้อบริเวณบ่าและไหล่
การรักษา : มุ่งเน้นการลดจำนวนของเชื้อราชนิดนี้
วิธีการรักษาและป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการสระผมด้วยน้ำอุ่น เนื่องจากน้ำอุ่นทำให้หนังศีรษะแห้งและลอกเป็นขุยได้
2. หลีกเลี่ยงการเกาแรงๆหรือการใช้หวีซี่คมหวีบริเวณหนังศีรษะ
3. สระผมด้วยแชมพูยา สระนานอย่างน้อย 5 -10นาที โดยช่วงแรกสระ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะสามารถลดจำนวนเชื้อราบนศีรษะลง ตัวอย่างยาฆ่าเชื้อราที่ผสมในแชมพู มีดังนี้
- Ketoconazole เช่น แชมพู Nizoral
- ซิลิเนียม ซัลไฟด์ เช่น แชมพู Selsun , Sebosel
- Zinc pyrithione
- หากมีสะเก็ดหนาและใช้ยาสระผมข้างต้นไม่ทุเลาให้เปลี่ยนมาใช้ยาสระผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน (Tar)
- Tar แชมพู จะช่วยลดสะเก็ดได้ดี แต่มีข้อเสียคือ ค่อนข้างแรง และอาจทำให้ผมแห้งแข็งกระด้าง วิธีแก้ไขคือให้ใช้ครีมนวดตามหลังการสระผม หลังจากรังแคลดลงแล้วสามารถลดจำนวนครั้งเหลือ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
4. กรณีมีการอักเสบของหนังศีรษะร่วมด้วย สามารถใช้ยาทากลุ่มคอติโคเตอรอยด์ชนิดน้ำหรือน้ำนม เช่น Triamcinolone lotion ทาบริเวณหนังศีรษะจะลดอาการแดงอักเสบลงได้
วิธีการใช้ : หลังจากสระผมให้ใช้หวีแสกผม จากนั้นหยอดยาลงบนบริเวณที่มีการอักเสบของหนังศีรษะ ใช้นิ้วเกลี่ยและคลึงเบาๆ ควรใช้วันละ 1-2 ครั้ง การอักเสบของหนังศีระษะจะลดลง
2.กลาก เกลื้อน เชื้อราบนหนังศีรษะ
การรักษาด้วยยา :-
1. ยาใช้ภายนอก : ได้แก่ 20% sodium thiosulfate , selenium sulfide shampoo, ketoconazole shampoo, zinc pyrithione shampoo
2. ยารับประทาน : กรณีที่ศีรษะเป็นบริเวณกว้าง ได้แก่
- ketoconazole ขนาด 200 mg ต่อวัน เป็นเวลา 7 วัน หรือ 400 mg ครั้งเดียว
- itraconazole ขนาด 200 mg ต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน
อย่างไรก็ตามอาจกลับเป็นซ้ำได้ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรักษาอนามัยส่วนบุคคลและรับประทานยาป้องกันการเป็นซ้ำ คือ ketoconazole 200 mg เป็นเวลา 3 วัน ทุกเดือน หรือขนาด 400 mg เดือนละครั้ง
3.ผมร่วง
ผมของคนเราร่วงอยู่ทุกวัน ในวันหนึ่งผมร่วงประมาณ 20 เส้น ถือว่าร่วงน้อย ร่วงถึงประมาณ 60 เส้น ถือว่าร่วงธรรมดา แต่หากร่วงเกิน 100 เส้นขึ้นไปหรือผมร่วงแหว่งหายไปเห็นหย่อมถือว่าผิดปกติ ทั้งนี้ขึ้นกับสุขภาพของเส้นผมและระบบไหลเวียนของบริเวณหนังศีรษะและระยะเวลาผลัดผมของแต่ละบุคคลด้วย หากผมใหม่ที่งอกขึ้นน้อยกว่าผมที่ร่วงไป ผมจะบางและเริ่มเป็นปัญหา เรียกภาวะที่ผมหลุดร่วงมากกว่าปรกติว่า “Alopecia” ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ และมีหลายลักษณะ
สาเหตุ : ผมร่วงหลังจากคลอดบุตรหรือเป็นไข้สูง (Telogen effluvin) ผมจะร่วงวันละเป็นร้อยๆ เส้น เวลาลูบผมจะติดมือออกมาเลย ซึ่งสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ
: ผมร่วงจากกรรมพันธุ์ (Androgenetic alopecia) หรือภาวะศีรษะล้าน ไม่ได้เกิดกับลูกหลานทุกคน พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงและมีความรุนแรงมากกว่า โดยเป็นมากเมื่ออายุมากขึ้น
: ผมร่วงจากการใช้ยาบางชนิด เช่น การใช้ยารักษาโรคมะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด ยารักษาโรคเกาต์ ยาต้านอาการซึมเศร้ายาลดความดันโลหิต ยาโรคหัวใจบางชนิด รวมทั้งการรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน
: ผมร่วงที่เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย เบาหวาน โรคติดเชื้อราที่หนังศีรษะ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ซิฟิลิส เอสแอลอี ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงภาวะการขาดอาหาร เช่น ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งพบได้ในหญิงที่เสียเลือดจากการมีประจำเดือนครั้งละมากๆ
: ผมร่วงจากพฤติกรรม เช่น ชอบดึงผม สระผมบ่อยเกินไป ย้อม / โกรกสีผม รวมทั้งการเป่าผมด้วยความร้อนมากเกินไป
การรักษาด้วยยา
1.ยารับประทาน :
- Finasteride สามารถเพิ่มจำนวนเส้นผม แต่เส้นผมจะกลับร่วงเมื่อหยุดใช้ยาเป็นเวลา 12 เดือน โดยยาไม่มีผลต่อขนทั่วร่างกาย แต่พบอาการข้างเคียงของระบบสืบพันธุ์และห้ามใช้ในหญิงที่มีศีรษะล้านโดยเฉพาะหญิงที่คาดว่าจะตั้งครรภ์
2.ยาทาภายนอก :
- Minoxidil ใช้ในรูปโลชั่นทาเฉพาะที่ในขนาด 2% และ 5% ตัวยาช่วยกระตุ้นเส้นผมที่มีขนาดเล็กให้ใหญ่และยาวขึ้น ยาจะให้ผลในช่วงที่ใช้ยาเท่านั้น เมื่อหยุดยาผมที่ขึ้นใหม่จะกลับร่วงเหมือนเดิมในเวลาประมาณ 6-12เดือน จึงต้องใช้ยาต่อเนื่องกันไปตลอดชีวิต
ขนาดและวิธีใช้ : ต้องทำให้ศีรษะแห้งก่อนทายา โดยทาวันละ 2 ครั้งติดต่อกันนาน 6-8 เดือน
หมายเหตุ : ผู้ที่มีศีรษะล้านเป็นเวลานานมักไม่ค่อยให้ผลการรักษา เนื่องจากยา minoxidil ไม่ช่วยให้มีเส้นผมเกิดขึ้นใหม่ได้บนศีรษะที่ล้านเลี่ยนไปแล้ว แต่เป็นเพียงช่วยให้เส้นผมที่มีเส้นเล็กกลับโตและหนาขึ้นเท่านั้น
อาการไม่พึงประสงค์ : ผิวแห้ง ผื่นคัน ผิวลอกเป็นสะเก็ดหรือเป็นแผ่น อาจระคายเคืองหรือแสบร้อนเฉพาะที่
4. เหา
สาหตุ : เกิดจากเชื้อปาราสิต ชื่อ Pediculus humanus ซึ่งอาศัยอยู่บนหนังศีรษะ เส้นผม ขน ปาราสิตชนิดนี้จะคอยดูดเลือดกินเป็นอาหาร และวางไข่บนเส้นผม โดยหลั่งสารไคตินหุ้มปลายหนึ่งของไข่ ให้เกาะติดแน่นอยู่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
น้ำลายของตัวเหามีสารซึ่งระคายเคืองผิวหนังได้ ทำให้เกิดตุ่มคันตรงรอยกัด ลักษณะไข่เป็นรูปวงรี ยาว 0.5-1 มิลลิเมตร สีขาวขุ่น เกาะติดแน่นกับเส้นผม ตัวเหาจะวางไข่ที่บริเวณโคนรากผม เมื่อผมยาวขึ้นก็จะเห็นไข่เหาเขยิบห่างจากหนังศีรษะมากขึ้น ไข่ที่ยังมีตัวอยู่จะมีสีเหลืองขุ่น แต่ไข่ที่ว่างเปล่าไม่มีตัวจะมีสีขาวขุ่น
อาการ : คันมาก อาจเกาจนหนังศีรษะถลอก อักเสบ และเป็นแผลติดเชื้อได้ นอกจากนี้ยังทำให้เด็กเสียสมาธิในการเรียน บางรายมีอาการคันศีรษะมาก พบตัวเหาและไข่เหาซึ่งเห็นเป็นจุดขาว ๆ ติดอยู่บนบริเวณโคนผมและเส้นผม ส่วนใหญ่จะพบที่บริเวณเหนือใบหูและที่ท้ายทอย บางรายอาจมีอาการคันมากตอนกลางคืน จนนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
การรักษา : วิธีการรักษาแบบชาวบ้านคือการโกนผมออกหมด ที่จริงเป็นวิธีที่ได้ผลพอควร เพราะเมื่อตัวเหาหรือโลน ไม่มีที่เกาะยึด โรคก็จะหายไปได้
การรักษาด้วยยา :
- ยาทา 0.3% gamma benzene hexachloride gel โดยถ้าเป็นเหา ให้สระผมให้สะอาดแล้วทายาทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ 12 ชั่วโมงแล้วสระผมซ้ำ ตัวยาจะมีฤทธิ์ฆ่าตัวแก่ จึงจำเป็นต้องรักษาซ้ำอีกครั้งหนึ่งใน 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาที่ตัวอ่อนฟักออกจากไข่ นอกจากนั้นการใช้หวีตาถี่ๆ สางผมให้ไข่หลุดออกมา จะช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น
- ยาทา Lindane cream % ทาบริเวณหิด ท้งไว้ 24 ชม. อาบน้ำ , กรณีเหา ทาหลังสระผมเช็ดแห้งแล้ว ขยี้ยาให้ทั่ว ใช้ผ้าโพกทิ้งไว้ 12 ชม. สระออก ถ้ายังมีเหา หรือโลน ให้ทำซ้ำอีกครั้งหลังจากใช้ครั้งแรก 8-10 วัน
โดยสรุป
ยาภายนอก เป็นยาที่มีความปลอดภัยมากกว่ายารับประทาน ที่สามารถหามาใช้ได้ด้วยตนเอง เพียงแต่ต้องเลือกได้ ถูกต้องตรงกับสาเหตุที่เป็น จึงจะได้ผล ในส่วนยารับประทานควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกร เพื่อป้องกันผลไม่พึงประสงค์ เช่น ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา มีดรค / อาการ ที่เป็นข้อห้ามใช้หรือไม่ เป็นต้น สิ่งสำคัญคือ หากสุขภาพศีรษะได้รับการเอาใจใส่ดูแลสม่ำเสมอ ยาต่างๆเหล่านี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้
ข้อมูลจากฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์