เก๊าต์…กับยารักษา
วันพุธที่ 30 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 542
เกาต์ (gouty Arthritis) เป็นโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรคข้ออักเสบ แต่เกิดจากการเผาผลาญ สารพิวรีน ( purine ) ผิดปกติในร่างกาย เกิดสารพวกกรดยูริก ( uric acid ) หรือเกลือโมโนโซเดียมยูเรตสูงในเลือด ไปเกาะตามข้อทำให้เกิดการบวมและปวด คนปกติในเลือด 100 ซี.ซี. มีกรดยูริกประมาณ 3-7 mg. ถ้ามีสูงกว่า 7.5 mg. จะสะสมที่ข้อต่อของกระดูก ทำให้ข้อมือ หัวแม่มือ หัวเข่า และข้ออื่นๆ บวม อักเสบ แดง มีอาการปวดรุนแรงเป็นครั้งคราว ถ้าเป็นเรื้อรังอาจถึงกับพิการได้ นอกจากนี้อาจตกตะกอนเป็นก้อนนิ่วในกรวยไต หรือ ท่อไต ทำให้ปวดท้องรุนแรง และขัดปัสสาวะได่้
กรดยูริกมาจากไหน
สาเหตุที่ทำให้มีกรดยูริคในร่างกายสูง ได้แก่
1. กรรมพันธุ์
2. ภาวะอ้วนเกินไป
3. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
4. อาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ปีก เป็นต้น
5. ยาบางชนิด เช่น
- ยารักษาความดันโลหิตสูงชนิดกลุ่มขับปัสสาวะ ฮัยโดรคลอโรไธอะไซด์ มีผลลดการกำจัดกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
- Salicylates : ( < 2 g/day) ยาขนาดต่ำ ( น้อยกว่า 2 กรัม/วัน ) จะยับยั้งการขับสารออกทางท่อไตทำให้มีปริมาณกรดยูริกใน เลือดสูง
- ยารักษาวันโรค เช่น Pyrazinamide , Ethambutol
6. โรคไต ทำให้ลดการขับออกของของเสียออกจากร่างกาย สามารถนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของปริมาณ กรด
ยาที่ใช้รักษาเก๊าต์
1. ยาบรรเทาอาการปวด และลดการอักเสบ.ของข้อระยะเฉียบพลัน (Acute gout attack ) ใช้ในช่วงที่มีอาการกำเริบ ได้แก่
1.1 ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ( NSAID s)
- เลือกยาที่ออกฤทธิ์เร็ว เช่น Indomethacin, Naproxen, Diclofenac, Ibuprofen , Piroxicam แต่ละตัวมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน
- ห้ามใช้ aspirin ขนาดต่ำ (<2 g/day) จะทำให้ระดับ uric acid ในเลือดสูง
1.2 ยาลดการอักเสบชนิด Cox-2 inhibitors มีเพียงตัวเดียวที่ได้รับการรับรองให้ใช้ใน gout คือ Etoricoxib (Arcoxia® ) 120 mg วันละครั้ง เนื่องจากยาทั้ง 2 กลุ่มนี้ระคายเคืองทางเดินอาหาร อาจเกิดแผล หรือทำให้คลื่นไส้ อาเจียน จึงต้องรับประทานหลังอาหารทันทีและดื่มน้ำตามมากๆ
- ผู้ที่เป็นโรคไต : ต้องลดขนาดยาลง
- ผู้ที่แพ้ยากลุ่มซัลฟา ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม Cox-2 inhibitor
1.3 Colchicine
- เป็นยาที่จำเพาะเจาะจงอย่างยิ่งในการรักษาข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์ ลดการปวดแต่ไม่มีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ
- ประสิทธิภาพพอๆกับ NSAIDs ยิ่งให้เร็วตอนที่มีอาการยิ่งได้ผลดี
- ขนาดยาปกติให้ 1 เม็ด (0.6mg) ทุก 1-2 ชั่วโมงจนกระทั่งอาการปวดลดลง หรือจนผู้ป่วยเกิดอาการข้างเคียงทางระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือได้รับยาจนถึงขนาดสูงสุด(6 mg) แล้วจึงหยุดยา
- ผู้ป่วยตับและไตผิดปกติต้องลดขนาดยา
- หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการกดไขกระดูกได้ จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
กรณีเกิดท้องเสียจากยา : ให้หยุดยา colchicines ก่อน แล้วให้ ยาหยุดถ่าย loperamide (2 mg) 2 เม็ดทันที หากไม่หยุดถ่าย ให้ 1 เม็ด ทุก 6 ชม. จนหยุดถ่าย ( ไม่เกิน 16 มก./วัน )
1.4 ยาลดการอักเสบชนิด Corticosteroids ใช้เมื่อใช้ NSAIDs หรือ Colchicine ไม่ได้ผล แบ่งเป็น
ยาชนิดรับประทาน : เช่น Prednisolone 20-30 มก./วัน รับประทานติดต่อกัน 3-5 วัน ก่อนหยุดยา 1 วันควรเริ่ม
colchicine วันละ 1-2 เม็ด เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
ยาฉีด : ใช้ฉีดเข้าข้อ (Intra-articular) : เช่น Dexamethasone, Triamcinolone acetonide
- ผลข้างเคียงมาก เพิ่มการคั่งของน้ำและเกลือแร่ ทำให้บวมน้ำ ความดันโลหิตสูง ต้อหิน เป็นต้น ชนิดรับประทานอาจเกิดแผลที่กระเพาะอาหาร จึงต้องรับประทานหลังอาหารทันที และไม่ควรซื้อหาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เภสัชกร
2. การให้ยาควบคุมอาการในระยะยาว : เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ การลุกลามของโรค การทำลายของอวัยวะ ใช้เมื่อ มีระดับ uric acid ในเลือดสูงมาก หรือมีโรคแทรกซ้อนจากภาวะยูริกในเลือดสูง เช่น นิ่ว โรคไต มีภาวะเฉียบพลัน ( acut attack of gout ) กำเริบซ้ำบ่อยๆ
2.1 ยาลดการสร้างกรดยูริก ได้แก่
Allopurinol : อาจเริ่มให้ขนาด 100 มก./วัน แล้วค่อยๆเพิ่มขนาดช้าๆ ปกติใช้ 300 มก./ วัน
- ใช้ป้องกัน gout attack ในผู้ป่วยที่มี uric acid สูงมาก, Tophaceous gout, ผู้ป่วยที่มีการทำหน้าที่ของไตบกพร่องผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด
- ไม่ให้ยาในผู้ที่ได้รับยารักษาอาการทันทีในช่วง 3 สัปดาห์ แรก
- ยานี้มีโอกาสทำให้เกิดผื่นแพ้ยาที่รุนแรงในผู้ป่วยบางราย ที่เรียก Steven Johnson syndrome (SJS) พบไม่บ่อย สามารถทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนและอาจเสียชีวิตได้ ส่วนมากจะเป็นในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายและพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์
ดังนั้นผู้ที่ใช้ยานี้ ต้องรู้จักสังเกตอาการแพ้ ซึ่งมักเกิดเมื่อใช้ยาแล้ว ราว 7-14 วัน โดยมีอาการนำ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ เป็นต้น ( อาจเข้าใจผิดว่า เป็นไข้หวัด ) ต้องรีบหยุดยาทันที แล้วไปพบแพทย์
2.2 ยลดการดูดกลับ และเพิ่มการขับกรดยูริก ออกทางไต (Uricosuric agent) ได้แก่
- ใช้กับผู้ป่วยที่มี urine uric acid <1000 mg/d
- ตัวอย่างยาและขนาดที่ใช้ ดังนี้
Probenecid 1-2 กรัม / วัน แบ่งให้เช้า เย็น **ห้ามใช้ร่วมกับ Aspirin**
Sulfinpyrazone 200-400 มก./วัน แบ่งให้ 2 หรือ 3 ครั้ง อาการข้างเคียง คือ ขัดขวางการทำงานของเกล็ดเลือด
Benzbromarone ใช้ในรายที่การทำงานของไตบกพร่อง ( CrCl <20 )
การรักษาโดยไม่ใช้ยา ( Non – pharmacological treatment )
โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาขับปัสสาวะ
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มี alcohol โดยเฉพาะ เบียร์ , เครื่องดื่มมีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณ พิวรีน สูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ม้าม หัวใจ เนื้อสัตว์ปีก ผัก บางชนิด เช่น กระถิน ชะอม หน่อไม้ฝรั่ง แตงกวา ใบขี้เหล็ก สะตอ เป็นต้น
การใช้หลัก 3 อ. ( อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ที่แจ่มใส ) โดยทางสายกลาง ทำให้เกิดสมดุลของชีวิต ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และลดโอกาสการพึ่งพายา นับเป็นสิ่งดีที่สุดที่ทุกคนสามารถทำได้ไม่ยาก
ข้อมูลจากฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลสำโรงการแพทย์